ร่วมบูชาวัตถุมงคล วัดไผ่ล้อม นครปฐม

วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2556

‘ตีหน้าเศร้า เล่าความเท็จ’ แหย่ให้อยาก แล้วก็จากไป
เงิน - การพนัน- อันตราย ห้ามเข้าใกล้โดยเด็ดขาด!!
คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม

เจริญพรญาติโยมพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สัปดาห์นี้อาตมานำเรื่องสุดฮอตสอง เรื่องมานำเสนอ เป็นเรื่องของเพื่อนที่ชักชวนไปเล่นการพนัน กับ เรื่องให้เพื่อนยืมตังค์ ทั้งสองเรื่องนี้ มีดีกรีร้อนแรง ถึงขั้นจะฆ่าตัวตาย ทั้งสองกรณี!!!

มาเริ่มที่เรื่องแรก... โยมสีกาโทร.เข้ามาระบายความนัย เธอบอกใจไม่ด้านพอ ใจอ่อนไหวไม่เข้มแข็ง พอเพื่อนมาชวนไปเล่นการพนัน โยมก็เลยตามไปเล่นกับเพื่อน สุดท้ายหมดตัว คิดอะไรไม่ออก เลยต้องโทร.มาบอกหลวงพี่น้ำฝน... โยมทำน้ำเสียงโอดครวญลั่น“อยากจะฆ่าตัวตาย”

อาตมาพอได้ฟังสาธยาย เกิดความเวทนา บอกตามตรงไปว่า สงสารบวกสมเพช พร้อมแจงเหตุปัจจัย กล่าวตักเตือนแนะนำสั่งสอนให้พิจารณา ค้นหาความจริงเสียก่อน

อย่าเพิ่งไปเพ่งโทษเพื่อน เพราะเพื่อนไม่ผิด เขาแค่ชวนเรา ซึ่งเราก็ไม่จำเป็นต้องไป!?!“คนเราตบมือข้างเดียวไม่ดัง” โยมไม่มีสิทธิ์ไปโกธรเพื่อน ยิ่งถ้าไปใส่อารมณ์บอกว่า เพื่อนดันเสือกมาชวนไปหมดตัว ถ้าคิดอย่างนี้ถือว่าอันตราย เนื่องเพราะโยมไม่ได้มองที่ตัวตนของเราก่อน ว่ามีสันดานเยี่ยงไร ลืมโทษตัวเอง และต้องถามกลับไปว่า แล้วเราเสือกไปกับเขาทำไม???

อาตมาถือว่า กรณีของโยมเข้าข่าย “รำไม่ดี โทษปี่โทษกลอง” รู้อยู่เต็มอก การพนันไม่เคยทำให้ใครร่ำรวย พวกเซียนพนันเขาเขียนปลอบใจพวกเดียวกัน “รวยไม่ทน จนไม่นาน” นี่ชัดเจน แปลตรงๆก็คือ การพนันมีได้มีเสีย แต่ส่วนใหญ่เสีย

การพนันทำให้โยมตกต่ำ “ไฟไหม้บ้านก็ยังเหลือที่ดิน ถ้าเราไปติดการพนัน ที่ดินก็ไม่เหลือ”

โยมท่านใดที่ยังเล่นอยู่ อาตมาบิณฑบาต ขอให้เลิกซะ เห็นเขาเล่นก็อย่าไปเล่น กับเขา ทุกวันนี้โยมส่วนใหญ่ตกอยู่ในอบายมุข ติดเล่นการพนัน

บางรายคิดแต่เรื่องที่จะถูกหวย คิดแต่เรื่องที่จะเล่นหุ้น ไม่ตั้งอกตั้งใจทำงานด้วยลำแข้งของตัวเอง พากันเห็นผิดเป็นชอบ คนฉลาดมีปัญญาก็มอมเมาคนโง่ ทำให้สังคมตกต่ำด้วยการเล่นพนัน

การพนันเป็นอบายมุขที่ร้ายแรงมากๆ โยมรู้ว่าอันตราย โยมก็ควรเลิกเสีย อย่างเข้าใกล้โดยเด็ดขาด

ส่วนอีกเรื่องกำลังฮอตมากที่สุดในเมืองไทยคือ “เรื่องกู้เงิน” ล่าสุดโทร.เข้ามาเป็นโยมสีกาอีกเช่นกัน ถามปัญหาเดิมๆ เธอบอก.... เพื่อนสนิทขอยืมเงินไปแล้ว ไม่ยอมจ่ายคืน หายจ้อยไปเลย เธอบอกเวลามาขอยืม ก็พยายาม “ตีหน้าเศร้า เล่าความเท็จ” พอได้สมอยากแล้วก็จากไป “หายเข้ากลีบเมฆ”

ทุกวันนี้เศร้าใจสุดๆ อยากฆ่าตัวตาย ไม่รู้จะทำอย่างไรกับชีวิต หลวงพี่ช่วยด้วย... อาตมาบอกได้คำเดียวว่า “โยมโง่มาก ก็เรามันโง่เอง ไปให้เขายืมทำไม เงินอยู่ในกระเป๋าของเราแท้ๆ ใครเป็นคนควักออกไปให้เขา ถ้าไม่ใช่ตัวเรา แล้วจะไปโทษใคร ในเมื่อเราโง่เอง ถ้าเราฉลาดใจเข้มแข็ง ก็อย่าให้เขายืม แต่ถ้าเกรงใจ ผลสุดท้ายก็จะได้รับแต่ความเจ็บปวด รวดร้าวใจ เสียเพื่อนคนหนึ่งไปโดยไม่จำเป็น”

อาตมายกตัวอย่าง สมมุติถ้าเพื่อนโยมมาขอยืมเงินจำนวนหนึ่งหมื่นบาท โยมก็ให้เขาไปเพียงห้าพันบาทพอ เราให้ตามกำลัง แล้วอย่าหวังว่าจะได้คืน ให้แทงเป็นหนี้ศูนย์ไว้เลย คิดว่าช่วยเพื่อนด้วยความจริงใจ ไม่หวังผลตอบแทน

ถ้าทำได้เยี่ยงนี้ ใจก็เป็นสุข ไม่ต้องคิดฆ่าตัวตาย มีเท่าไหร่ก็ให้เท่านั้น อย่าให้เขายืมจนเราหมดเนื้อหมดตัว ต้องมาเดือดร้อน ทุกข์ระทมใจ

ตราบใดที่เรายังไม่ตาย ยังมีอาชีพ มีรายได้ โยมต้องใช้สติ อย่าไปคิดฆ่าตัวตายเด็ดขาด จงจำไว้!!!

ยกตัวอย่าง เรื่องของอาตมา มีโยมโทร.เข้ามาปรึกษาหารือ ถามได้ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องเงิน อาตมาไม่รับปรึกษาเรื่องเงิน เพราะอาตมาเอง ทุกวันนี้ก็ยังเอาตัวไม่รอด เรื่องเงินเรื่องทองอาตมาเข้าใจดี อาตมาเคยมีประสบการณ์มาก่อน เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อน อาตมาถือเป็นรุ่นพี่ของโยม

“เวลาเข้ามาหา แทบจะคลานเข้ามา ป้อนคำหวาน คำชม พกพาน้ำตาลมาฝากเต็มกระบุง ออดอ้อนหว่านล้อม เล่ห์เหลี่ยมครบถ้วนกระบวนความ”

พวกที่เข้ามาขอยืมเงิน มักจะเล่าเรื่องได้สุดแสนเศร้า ฟังแล้วน้ำตาจะไหล เล่าถึงพ่อแม่ลูกเมียผัว เล่าได้อย่างน่าฟัง จับใจสุดๆ บางคนใจอ่อน เคลิบเคลิ้ม ต้องรีบให้ยืมเงินทันที

สำหรับเรื่องนี้ อาตมาแนะนำให้โกหกบ้าง บอกเขาไปเลยว่าไม่มี ทั้งที่เรามี แต่เป็นการพูดปดที่ไม่ผิด อย่าไปคิดว่ามุสาแล้วจะผิดศีลเสมอไป เพราะถ้าไม่ยอมทำผิดศีล เราก็เสียเงินฟรี บางทีการเคร่งครัดในศีลมากเกินไปก็ทำให้เราทุกข์ใจได้เช่นกัน ยิ่งถ้าไปยึดแบบไม่มีเหตุผล อย่างนี้เขาเรียกจำเป็นต้องโกหก เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาทีหลัง



เหมือนในสุภาษิตที่ว่า “มีเงิน มีทอง เขาก็นับว่าน้องว่าพี่ แต่เวลาที่ไม่มี แม้นแต่หมา ยังเมิน เดินหนีจากไป”

...เอ็นดูเขา เอ็นเราจะขาด...อาตมาเจอมาแล้วกับตัว...เพราะมัวไปเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐาน....เราผ่านความจนมาก่อน หากไม่ให้โอกาสคน ที่เขากำลังจะจมน้ำ...แล้วเมื่อไรเขาจะได้เกิดสักที ก็เพราะคิดแนววิธีนี้....เวลามันมีก็ไม่ให้เรา แถมยังเอาเราไปว่า อ้ายบ้า เสือกโง่ เอามาให้กูเอง...เป็นซะอย่างนี้ สุดท้ายก็ชีช้ำกะหล่ำปี...นี่บางรายก็ยังลอยหน้าลอยตา...เหมือนราวกับว่า เราเป็นหนี้มันแทน...เพราะแทนที่มันจะหลบหน้า เรากลับไม่กล้าจะอยู่สู้หน้ามัน...นั่นเป็นเพราะ ใจไม่ด้านพอ....

กว่าโยมจะสำนึกได้ ก็หมดไปหลายล้าน ประสบการณ์สอนคน เวลามีใครมาขอยืมเงิน ก็ทนให้มันด่าเราได้เพียงครั้งเดียวพอ ต้องทำใจไม่ให้ จะได้ไม่ต้องมาเจ็บปวดภายหลัง เพื่อนพี่น้องจะชิงชัง ยังดีกว่า ให้มันมาซ้ำเติม จริงมั้ยญาติโยมทั้งหลาย...ขอกันกินยังมากกว่านี้...แต่เป็นหนี้แล้วไม่ยอมให้นี่ซิ...สุดยอดที่สุดแล้ว??

สรุปสุดท้ายคุณโยมควร -"ใช้ใจมองคน"- แล้วคุณโยมจะรู้ว่า คนๆนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่คุณโยมเห็น ต้องรู้จักอโหสิกรรมให้ได้ จะสบายใจขึ้น แล้วชีวิตโยมก็จะไม่แย่ลง ถือว่าชดใช้เวรกันไป

ถ้าอยากให้ใจสบาย ไม่ต้องมาคิดฆ่าตัวตาย ก็อย่าเอาเรื่องเก่ามารื้อฟื้น ไปไหนมาไหนปากอย่าไว ใจอย่าเบา

เรื่องของคนอื่นอย่านำมาคิดให้เปลืองสมอง ทำหน้าที่ปัจจุบันของเราให้ดีที่สุด ส่วนอนาคตก็อย่าไปจับให้มั่นคั้นให้ตาย หรือจริงจังให้มากจนเกินไป เพราะจะผิดหวัง และเสียใจไปตลอดชีวิต ฝากไว้เป็นแง่คิดเฉกเช่นนี้....ขอเจริญพร

พิธีขอขมากรรม ส่งท้ายปีเก่ารับพรปีใหม่

บทความที่ได้รับความนิยม