ร่วมบูชาวัตถุมงคล วัดไผ่ล้อม นครปฐม

วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ลูกชายตาบอด พฤติกรรมไม่สำเหนียก แม่พามาวัดไผ่ล้อม
"ดวงตาเห็นธรรม"

คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม

เจริญพรญาติโยมพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สัปดาห์นี้มีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตในครอบครัว

เมื่อเร็วๆนี้ โยมมาวัดไผ่ล้อม ร่วมพิธี เปลี่ยนผ้าครอง สักการะสังขารพระเดชพระคุณหลวงพ่อพูล อัตตะรักโข

โยมมาทั้งครอบครัว พ่อ แม่ ลูก เข้ามาหาอาตมา...โยมที่เป็นแม่ บอกเซ็งสุดขีด กับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนนี้ เพราะที่ผ่านมาเกเรสุดๆ ทั้งที่มองไม่เห็นโลก

น่าสงสารมากที่สุด เจ้าหนุ่มน้อยรายนี้ มีความบกพร่องทางตา...ดวงตาของเขามืดสนิททั้งสองข้าง แต่ด้วยวัยยังเด็ก ควบคุมอารมณ์ให้ก้าวเดินตามครรลองไม่ข้องนัก

ปัจจุบันเรียนอยู่ชั้น ม.1 แม่บอกเกเรมาก

ในความจริงน้องเป็นเด็กมีปมด้อย เวลาน้อยใจ เสียใจ ไม่รู้ไปลงที่ไหน ก็หันมาประชดตัวเอง ด้วยการโวยวายใส่อารมณ์กับพ่อแม่ ด้วยพฤติกรรม งี่เง่า ขี้โมโห หงุดหงิด!!!

เนื่องเพราะเขายังขาดจิตสำนึกที่ดีในความเป็นคน

จงจำไว้เลยลูกๆทั้งหลาย ทุกอย่างเริ่มต้นที่ตัวเรา เมื่อเกิดมาแล้ว ต้องสู้กับชีวิต อย่าใช้ชีวิตไปในทางทำร้ายตัวเอง อย่าซ้ำเติมตัวเอง แบบไร้สมอง ตรองตระหนักสำเหนียก อย่าพยายามเป็นคนดีของใคร แต่จงพยายามบังคับใจตนเอง ให้ทำดีทุกวัน

ต้องยอมรับในกรรมเก่าของเรา ต้องชดใช้กรรมไปตามวาระโอกาส แต่มิใช่ ทำชีวิตให้มันแย่ลง....นี่คือสิ่งที่อาตมาพยายามพร่ำสอนเด็กคนนี้

แม่ของเด็กเล่าให้ฟังว่า..... “โยมพาไปแล้วหลายวัด หลายหลวงพ่อ แก้ไม่หาย สอนเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง ไม่ยอมสนใจ สุดท้ายก็เลยตัดสินใจพามาหาหลวงพี่ ให้ปราบพยศเจ้าลูกชายตัวแสบคนนี้”

อาตมาก็เลยสอนไปว่า.... สิ่งแรกที่ลูกควรตระหนักคิดประการแรกก็คือ ถามตัวเองก่อน ใครทำให้เราได้เกิดขึ้นมา ถ้าไม่ใช่พ่อและแม่ ทั้งสองท่านนี้ ประเสริฐที่สุดในชีวิตของเรา จะคิดจะอ่านจะทำอะไรก็แล้วแต่ ให้นึกถึงสองท่านนี้ก่อนเป็นอันดับแรก “ถ้าคิดได้ ชีวิตก็จะเป็นมงคล”

ประการต่อมา อย่าทำให้พ่อแม่ต้องเสียใจ อย่าให้เขามาทุกข์ใจเพราะเรา เขาทำให้เราได้เกิดมามีชีวิต เป็นคนนั้น ถือว่าบุญโขแล้ว

ถึงแม้ลูกจะมีอาการไม่ครบ 32 แต่อย่างน้อย เราก็ได้หัวใจมาเต็มเปี่ยม ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดี

มันเป็นโอกาสทองครั้งสำคัญ ที่จะตอบแทนบุญคุณท่าน ถึงเวลาที่จะต้องสะสมความดี สร้างบุญสร้างกุศล ถ้ามีโอกาสเกิดชาติหน้าภพใหม่ จะได้มีชีวิตสมบูรณ์กว่านี้

ถึงดวงตาของเราจะมืดบอด มองโลกเป็นสีดำ แต่ใจอย่าบอด ใจอย่ามืดดำโดยเด็ดขาด ใจต้องขาว สว่าง บริสุทธิ์ผุดผ่องเสมอ

อย่าไปเกลียดความมืด ความเหงา เพราะมันคือเพื่อนที่ดีที่สุด ในเวลาที่เราไม่เหลือใคร

พออาตมาพูดจบ หนุ่มน้อยตาบอด น้ำตาไหลซึม ....แล้วน้ำตาก็หยดแมะลงมาอย่างเห็นได้ชัด!!!

อาตมาจึงถามไปว่า “ให้สัญญาได้มั้ย ว่าต่อไปนี้จะไม่ทำให้พ่อแม่ต้องเสียใจอีก เลิกดื้อ เลิกซน กลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ เริ่มเป็นคนดีเสียตั้งแต่บัดนี้ อนาคตยังไม่สายที่จะแก้ไขปรับปรุง” จงจำไว้ เมื่อมีชีวิตเกิดมาแล้ว ก็มีกรรม หมดชีวิตตายไป ก็หมดกรรม

ลูกชายพยักหน้า รับปาก ทั้งที่น้ำตายังไหลรินออกมาจากดวงตาที่มืดสนิททั้งสองข้าง เขาระลึกดีรับรู้ได้ในคำสอนคำเตือนของอาตมา

“ความดื้อรั้นที่มันแน่นอยู่ในอก ลูกควรยกออกเสีย” อย่าให้มันจุกอยู่ในหัวใจ ผ่อนคลาย เปลี่ยนแปลง ล้างสนิมที่ไม่ดีอยู่ในใจออกไปให้หมด เร่งทำความสะอาด กาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์ ล้างทุกข์ล้างบาปเสียให้หมดสิ้น มันเป็นโอกาสสุดท้ายของลูก ในการใช้ชีวิตตามครรลอง อย่าให้ปีศาจแห่งความชั่วมาครอบงำ

ให้จำไว้เลยว่า ไม่มีใครมีชีวิตที่ราบรื่นอยู่ตลอดเวลา ต้องระลึกว่า ไม่มีวันสายเกินไปที่จะทำในสิ่งที่ดีๆ

ไม่มีคำว่าสายเกินไป ที่จะเริ่มทำชีวิตใหม่ ทำงานช่วยพ่อแม่ ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ หรือแสวงหาความรับผิดชอบอย่างถ่องแท้

นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับเรา ....เราไม่มีทางหลีกเลี่ยงมัน มันเกิดแล้ว เราต้องยอมรับมัน และต้องใช้ชีวิตอยู่กับมันให้ได้ คนที่เกิดมาบางคนตาบอด แขนขาขาดก็มี เราเกิดมา ตามองไม่เห็น แต่อย่างน้อย เราก็ยังมีความรู้สึกและคิดได้ เรายังโชคดีกว่าคนอื่นๆอีกหลายคน

“เด็กก็เหมือนต้นไม้ ตอนนี้เขายังไม่รู้เลยว่า ควรจะไปอยู่กับดินแบบไหน และเขาเป็นต้นอะไร....

ถ้าเขาเป็นต้นกระบองเพชร เขาก็ต้องไปอยู่ดินทราย เราจะเอาเขาไปอยู่กับดินที่มีน้ำไม่ได้ เขาก็จะตาย....

ตอนนี้เขากำลังไปหาดินที่เขาจะไปอยู่ ว่าเขาควรจะไปโตที่ไหน....

คนเป็นพ่อแม่ต้องหาความเจริญเติบโตให้ลูก ก็คือหาได้แค่อาหาร แต่การที่เด็กจะโตและดำรงชีวิตต่อไปได้นั้น เป็นหน้าที่ของเขา”


ถ้าเรารักและโอบอุ้มเขาอยู่ในบ้าน เราก็ได้แค่เด็กตาบอดคนหนึ่งที่อยู่ในบ้าน ถ้าแม่ตายก็ไปเป็นภาระให้คนอื่น

สู้ให้เขาเป็นคนตาบอดที่มีศักยภาพ และดูแลตัวเองดีกว่า เพราะขนาดเราหลับตา เรายังทุกข์เลย แต่เขาต้องหลับตาไปตลอดชีวิต พ่อแม่ต้องสอนให้เขาดูแลตัวเอง ให้ได้ และทำให้ได้!?!

มีพุทธพจน์ กล่าวไว้ว่า “ไม่มีกรรมใดที่จะสำคัญไปกว่า ปัจจุบันกรรม”

ชีวิตที่เหลือของเรา ยังมีความหวัง และสามารถทำประโยชน์ได้อย่างมากมายก่อนสิ้นลมหายใจ

หลังจากนั้นไม่นาน พ่อแม่ของเขา ก็พากลับมาที่วัดอีกครั้ง ด้วยมาดใหม่ สดใสเริงร่า สีหน้าบ่งบอกว่ากลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี เชื่อฟังพ่อแม่ เป็นลูกที่น่ารัก

แม่เล่าให้ฟังว่า เขาเก่ง มีประสาทสัมผัสดี มีความสามารถพิเศษ ในการใช้คอมพิวเตอร์ เล่นไอโฟนได้ และมีความฝันอยากเป็นโปรแกรมเมอร์

นี่คือนิมิตหมายที่ดี ของเด็กวัยรุ่น ถึงแม้วันนี้จะตาบอด แต่ก็มีกำลังใจที่ดีจากพ่อแม่และคนใกล้ชิด ที่สำคัญตัวเขาเองนั่นล่ะ ที่ต้องสร้างพลังใจให้กับตนเองให้มากที่สุด เพื่ออนาคตที่งดงามและสุขใจอย่างแท้จริง

แม้ว่าดวงตา ต้องอยู่ในความมืดมิด ไม่สามารถมองเห็นความสวยงามของโลกใบนี้ได้ แต่เด็กชายที่เปี่ยมไปด้วยจิตใจที่งดงาม และใสสว่าง เพราะถูกปลูกฝังให้เป็นคนดีของสังคมมาตั้งแต่ยังเล็ก ๆ คนนี้ จะมีชีวิตที่สดใส และมีดวงใจที่ไม่มืดบอดเฉกเช่นดวงตาอย่างแน่นอน...ขอเจริญพร

พิธีขอขมากรรม ส่งท้ายปีเก่ารับพรปีใหม่

บทความที่ได้รับความนิยม