ร่วมบูชาวัตถุมงคล วัดไผ่ล้อม นครปฐม

วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เรื่องผัวเมียทะเลาะกัน อย่าเข้าไป ส.ใส่เกือก
เดี๋ยวจะกลายเป็นหมา !! อาตมาเตือนแล้ว !!

คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม

เจริญพรญาติโยมพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สัปดาห์นี้อาตมาขยับปากกา สะกิดเรื่องราวของศิษย์ใกล้ชิด พอบรรจงเขียนบรรยาย มองเห็นภาพวิถีชีวิตเพศฆราวาส ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร เห็นภาพชัดเจนเป็นรูปธรรม!!!

ที่สำคัญอาตมาอยู่ในเหตุการณ์เรื่องนี้ตลอดเวลา เหตุเกิดที่วัดไผ่ล้อม บริเวณสำนักงานกลาง หลังฌาปนสถานปลอดมลพิษ...

ลูกศิษย์ท่านนี้ ทำงานอยู่ตรงนั้น ในแต่ละวันที่สำนักงานกลางวัดไผ่ล้อม มักจะมีผู้คนมาเยือนติดต่อประสานงานด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา มาจากมากมายหลายหน่วยงาน ส่วนใหญ่ก็เข้ามาขอข้อมูลประสัมพันธ์นั่นเอง...

บ่อยครั้งก็จะมีพรรคพวก ที่สนิทสนม โดยเฉพาะเพื่อนร่วมวิชาชีพด้านงานเขียน เข้ามาขอความรู้ปรึกษาหารือ... แล้ววันหนึ่ง ศิษย์ที่เป็นนักเขียนท่านหนึ่ง ก็เข้ามาหาเพื่อนของเขา....เล่าเรื่องราวของภรรยา ให้เพื่อนได้ฟัง เพราะความเครียด ระคนกลุ้มใจ

แรกๆก็เล่าเรื่องเบสิก เป็นการทะเลาะเบาะแว้ง ภายในครอบครัวแบบธรรมดา ไม่แปลก ที่ทุกครอบครัว ย่อมเกิดเรื่องทำนองนี้

ผู้รับฟังฟัง ถ้าไม่คิดมาก สิ่งที่รับฟังแล้ว อาตมาถือว่าเบาๆ เพราะเป็นปัญหาพื้นฐาน ที่สามีภรรยาในฐานะลิ้นกับฟัน อยู่ด้วยใกล้กัน ย่อมกระทบกระทั่งกันบ้างตามปกติ

โฟกัสเหตุการณ์วันแรกที่มาปรึกษา บรรยากาศโดยรวม ทุกคนรับฟังได้สบายๆ เข้าใจในสถานะ เพราะเล่าว่าแค่มีปากเสียง

จากนั้นวันต่อมา ความถี่ในการเล่า เริ่มขมวดปม คืบหน้าเป็นทะเลาะใส่อารมณ์ ขุดเหตุการณ์ในอดีต ตั้งแต่แรกเริ่ม มาแฉเป็นขั้นเป็นตอน ย้อนหลังแบบในละครโทรทัศน์

ปมปัญหาทวีความรุนแรงขึ้น ถึงขั้นไม่พูดจา ต่างคนต่างอยู่คนละมุมบ้าน แต่ถ้าคุยกันเมื่อไหร่ นั่นหมายถึง มีปากเสียง ด่าทอ ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ประทุความเคืองขุ่นขึ้นตามลำดับ

การนำเรื่องของภรรยามาเล่าปรึกษาเพื่อน สุดท้ายคลายปม เฉลยเหตุเพราะภรรยาไปมีชู้ เรื่องจึงแดงขึ้น ส่วนเพื่อนรับฟังข้อมูลปริมาณมากขึ้น ก็ออกอาการฉุน ลมออกหู แค้นแทนเพื่อน

“ลั่นวาจาปากไว ฟันธง บอกให้เลิกกันไปเลยดีกว่า”

อาตมานั่งฟังอยู่ด้วย เห็นสถานการณ์เริ่มไม่ดี จึงหันไปตำหนิเจ้าศิษย์ที่ไปแนะนำให้เลิกรา บอกขืนแนะนำอย่างนี้ ระวังจะเป็นหมา เขาเป็นผัวเมียกัน ไปชี้นำ บอกอย่างนั้นได้อย่างไร???

ท้ายสุดก็เป็นจริง เมื่อเพื่อนกลับไปบ้าน ไม่รู้ไปคุยกับภรรยาอีท่าไหน บรรยากาศเปลี่ยนไปในทิศทางดีขึ้น เข้าอกเข้าใจกันดี แถมบอกถึงที่มาของการไปปรึกษาเพื่อน บอกเพื่อนมันแนะนำให้ฉันเลิกกับเธอ

เท่านั้นล่ะ ฝ่ายเมียถึงกับโกธรเป็นฟืนเป็นไฟ ออกอาการโมโหมากมาย กลายเป็นเรื่องใหญ่โต!!!

ภรรยาแสดงอารมณ์กร่นด่าเกลียดเพื่อนสามีขึ้นมาทันที

รุ่งขึ้นเช้ามาที่วัดทั้งภรรยาและสามี สายตาที่ภรรยามองเพื่อนสามี ประหนึ่งจะกินเลือดกินเนื้อ ฝ่ายเพื่อนก็มองหน้าไม่ติด เพราะจัดหนักไปเสียขนาดนั้น

ซึ่งก็เข้าตำราตามที่อาตมาเตือนไว้ทุกประการ บอกระวังจะเป็นหมา สุดท้ายเจ้าเพื่อนคนนี้ ก็ได้เป็นหมาสมใจ แค่ช่วงเวลาข้ามคืน

ให้จำไว้เลยว่าสามีภรรยาเขานอนคุยกัน ส่วนเราเป็นแค่เพื่อนนั่งคุยกัน ความสัมพันธ์มันต่าง มันคนละเรื่อง คนละมุม

ถ้าคิดจะแนะนำจริงๆ อาตมาบอกไปแล้วชัดเจนว่า.... ต้องแนะนำให้เขาดีกัน มองในแง่มุมที่ดีต่อกัน ให้เหตุผล สร้างบรรยากาศปลอบประโลมให้ใจเย็นๆด้วยกันทั้งคู่

ในฐานะกรรมการกลาง เรายังไม่ชัดเจนในท้องเรื่อง ถามไถ่ด้วยความเห็นใจทั้งสองฝ่าย จากนั้นก็เอานำเย็นเข้าลูบ ให้กำลังใจ

พูดให้เขาสุขุมรอบคอบขึ้น ไม่ใช่ไปสุมไฟ ที่สำคัญคนกำลังเครียด กำลังมองลบ ต้องค่อยๆปลอบขวัญ ไม่ใช่ไปยุยงส่งเดชให้เขาเลิกกัน เขาเป็นครอบครัว มีลูกต้องดูแล มีพ่อแม่ต้องแทนคุณ เรื่องครอบครัวมันต้องมองไกลๆ เพราะเรื่องสามีภรรยาลูกเป็นเรื่องละเอียดอ่อน

นี่คือเหตุการณ์เรื่องจริง ที่ส่วนใหญ่อาตมาจะสอนลูกศิษย์ทุกคน โดยเฉพาะในกรณีคู่รักสามีภรรยา จำนวนมากจะเป็นฝ่ายหญิงที่มาเล่าเรื่องสามีไปมีกิ๊ก แอบไปมีภรรยาน้อย

อาตมามักจะสอนให้ดูแลลูก เอาเวลาไปทำมาหากิน และยิ่งถ้าครอบครัวไหน ฝ่ายชายดูแลดี อาตมาบอกอย่าไปสนใจ ตราบใดที่เรายังพึ่งเขาอยู่ เขาให้เงินเราและลูก ได้ใช้จ่ายอย่างไม่ขัดสน ไม่ขาดตกบกพร่อง เสมอต้นเสมอปลาย ต้องนับถือฝ่ายสามี ในฐานะหัวหน้าครอบครัว ช้างเท้าหน้าทำหน้าที่สามีสมบูรณ์แล้ว

“ฝ่ายหญิงไม่ต้องไปสนใจ ไม่ต้องไปตามตื้อ ตามจิกให้เสียเวลา”

ถ้าเราดีจริง วันหนึ่งเขาก็กลับมาเอง ผู้ชายส่วนใหญ่แพ้ความดีของภรรยา กลับมาตายรังทุกราย เพราะครอบครัวที่บ้านอบอุ่น ฝ่ายสามีจุดสุดท้ายก็กลับมาอยู่บ้าน

แต่บ้านที่ร่มเย็นเป็นสุขนั้น คือบ้านที่อยู่ด้วยกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย ออมชอม ยอมกัน ทั้งสามีภรรยาต้องรู้จักให้อภัย เมตตา เสียสละ พออายุมาขึ้น ปลงได้แล้ว บ้านก็จะกลายเป็นวิมาน อยู่เป็นเพื่อนยามเจ็บไข้ได้ป่วย ดูแลป้อนข้าวป้อนยาในเวลาใกล้ตาย บุญกุศลไม่ตกหายไปไหน ถ้าอยู่กันด้วยใจ เราช่วยเขา เขาช่วยเรา สุดท้ายก็นอนตายตาหลับทั้งคู่ ดูตัวอย่างพ่อแม่เราไว้เป็นต้นฉบับของชีวิตคู่ อยู่อย่างเป็นสุข แล้วก็จากไปอย่างเป็นสุข

“อาตมาขอสรุปอีกมุมคิดหนึ่ง เพ่งไปที่สามีภรรยา อาตมาขอแนะให้ทั้งคู่ต้องกล้าหาญที่จะเปิดใจพูดคุย เพื่อรู้จักชีวิตความเป็นมา และนิสัยใจคอกันเสียให้กระจ่างตั้งแต่แรกคบหาสมาคม แล้วก็เปรียบเทียบดูว่า เราเข้ากันได้หรือไม่ แก้ไขข้อบกพร่อง อย่าเห็นแก่ตัว เวลามีปัญหาอย่าล้ำเส้น อย่าเอาเปรียบกัน ต้องมีความรับผิดชอบในครอบครัว อย่าเสี่ยงพาชีวิตคู่ไปสู่ความแตกร้าว ต้องกันไว้ดีกว่าแก้ เพราะแย่แล้วแก้ไม่ทัน วิธีป้องกันการแตกแยกในวิถีชีวิตคู่ ต้องแก้ที่นิสัย และอีกประเด็นก็เรื่องการเงิน อย่าใช้เงินเกินตัว อย่าสร้างหนี้ เพราะเรื่องเงินนี่ล่ะ ที่จะนำพาชีวิตครอบครัวแตกร้าว มีผลไปสู่การมีชู้ มีกิ๊ก ถ้าไม่อยากให้เกิดปัญหาแนวนี้ ควรประคองเรื่องเงินอย่าให้บกพร่อง อยู่กับแบบพอเพียง เลี้ยงชีวิตให้สมฐานะ สามีภรรยาไม่ควรมีความลับต่อกัน อย่ากลัวหรือหนีปัญหา ต้องเผชิญหน้าพูดคุยกันอย่างมีเหตุผล ความกลัวเป็นสิ่งหนึ่งที่รบกวนชีวิตประจำวันมากที่สุด สามารถทำลายความสุข กลัวไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ กลัวไม่มีเงิน กลัวลำบาก กลัวแก่ กลัวโรคภัยไข้เจ็บ กลายเป็นโรคจิต เพราะมีความกลัวเป็นเพื่อน ตั้งแต่เด็กจนวันตาย ฉะนั้นต้องเข้มแข็ง อย่าไปวิตกจริตคิดเยอะ อย่าจิตตก คิดบวกไว้ มองโลกในแง่ดี ใช้ชีวิตคู่ให้มีความสุข ถ้ามีโอกาสก็อย่าลืมทำบุญทำทาน สะสมเสบียงบุญไว้ใช้ในภพหน้า”
อาตมาขออนุโมทนากับญาติโยมทุกคู่ชีวิต ที่อยู่อย่างถึงพระถึงธรรม นำพาชีวิตไปตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมประสบแต่หนทางสวรรค์ทั้งภพนี้และภพหน้าสถาพรอย่างแน่นอน....ขอเจริญพร

พิธีขอขมากรรม ส่งท้ายปีเก่ารับพรปีใหม่

บทความที่ได้รับความนิยม