ร่วมบูชาวัตถุมงคล วัดไผ่ล้อม นครปฐม

วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

อาตมาคิดว่าเป็น ‘วิบากกรรม’ ย้ำเตือนสติ
สอนให้ดำเนินชีวิต ‘สู้ต่อไป’ ได้อย่างมั่นคง

คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม

เจริญพรญาติโยมทุกท่าน ระหว่างจรดเตรียมกดแป้นพิมพ์ พลันเหลือบเห็นหนังสือเก่า เล่าเรื่องศรีปราชญ์ ร่ายบทกวี...
ธรณีนี่นี้ เป็นพยาน
เราก็ศิษย์มีอาจารย์ หนึ่งบ้าง
เราผิดท่านประหาร เราชอบ
เราบ่ผิดท่านมล้าง ดาบนี้คืนสนอง
การประหารศรีปราชญ์ ถึงพระกรรณสมเด็จพระนารายณ์ ซึ่งใคร่จะเรียกตัวมาใช้งานในเมืองหลวง พระองค์พิโรธเจ้าเมืองนครฯ กระทำการโดยปราศจากความเห็นชอบของพระองค์ และเมื่อพระองค์ได้ทราบถึงโคลงบทสุดท้ายของศรีปราชญ์ จึงมีพระบรมราชโองการ ให้นำเอาดาบที่เจ้าเมืองนคร ฯ ใช้ประหารศรีปราชญ์แล้วนั้น นำมาประหารชีวิตเจ้าเมืองนคร ฯ ให้ตายตกตามกัน สมดังคำที่ศรีปราชญ์ เขียนไว้เป็นโคลงบทสุดท้ายก่อนสิ้นชีวิตว่า “ ดาบนี้คืนสนอง ”

อ่านเรื่องนี้แล้ว อาตมาได้แง่คิด เรื่องกรรมใดใครก่อ ย่อมได้รับผลของกรรมนั้น...

พระนารายณ์สั่งให้ศรีปราชญ์เข้าเฝ้า เแต่งกลอนให้พระองค์สดับ แต่เมื่อทราบข่าวศรีปราชญ์ถูกประหาร สมเด็จพระนารายณ์ โกรธมาก จึงสั่งให้ประหารตายตามไป นี่แหละหนอผลของกรรม ทำอะไรไว้ได้อย่างนั้นจริงๆ



พออ่านจบอาตมาตัดสินใจ เขียนเรื่องวิบากกรรม ประสบการณ์ตรงของอาตมา เพื่อให้แสงสว่าง เป็นอุทาหรณ์สอนใจไว้ ณ ที่นี้

โยมจำเรื่อง รถหรู จากัวร์ เพ็นเทอร์ ได้มั้ย ข่าวใหญ่เมื่อช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา “อาตมาถูกกล่าวหาว่าครอบครองรถหรู ทั้งที่เป็นรถโบราณ ใช้การไม่ได้” ลูกศิษย์เขาถวายมาเป็นวิทยาทาน กุศโลบายให้โยมเข้าวัด ถึงธรรม มาชมมาถ่ายรูป ศึกษาความเป็นของเก่าหาดูได้ยากในปัจจุบัน

แต่สื่อก็ไปตีข่าวเสียใหญ่โตว่าเป็นรถหรู อ้าง DSI จ้องเล่นงาน บอกผิดเต็มๆ เมื่อไม่เข้าใจอาตมาก็ออกมาแถลงข่าวอธิบายให้ปัญญา เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.56 วันแถลงอาตมาก็ว่ากันตรงๆตามเหตุผล เล่าเฉลยว่ามันคือรถโบราณจดประกอบ ลูกศิษย์เขาถวาย ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ เสียภาษีครบถ้วน โชว์หลักฐานครบ

เรื่องยังไม่จบ วันนั้นสื่อมาครบทั้งหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ รายงานตามจริง ที่สำคัญไม่เว้นแม้รายการข่าวของโยมสรยุทธ ช่อง 3 ภาพที่ปรากฏ อาตมาพูดไม่ปิดบัง ถามอะไรมาก็ตอบตามตรง เสียงดัง ฟังชัด รู้เห็นเข้าใจทั่วประเทศ

อาตมาเป็นพระสงฆ์ เป็นครูบาอาจารย์สอนคนให้เป็นคนดี ไม่ใช่สักจะพร่ำไปวันๆแบบไม่มีแก่นสาร ที่ผ่านมาอาตมาสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร ศาลาการเปรียญ โรงเรียน โรงพยาบาล โดยไม่เคยเรี่ยไรบอกบุญ หนุนศาสนาจรรโลงเพื่อสังคมสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรมมากมาย แล้วอาตมาจะมาตายน้ำตื้นเยี่ยงนี้ฤา อาตมามีศีล มีสติปัญญา มีสมาธิเพียงพอ จะไปทำบัดสีเยี่ยงนี้เพื่ออะไร มันไม่คุ้มกับการตั้งใจทำความดีมาทั้งชีวิต เพียงแต่บุคลิกมันพาไป คือ พูดตรง เสียงดัง พูดความจริง ไม่เคยพูดจ๊ะจ๋า หรือทำเพราะเพื่อหลอกโยมไปวันๆ อาตมาทำไม่เป็น คำสอนคำพูดมันก็เลยแข็งทื่อไม่งามงด ไม่ถูกจริตโยมบางท่านก็เท่านั้นเอง

ถ้าอาตมาชั่วแม้แต่นิดเดียว ก็คงจะไม่ได้อยู่มาจนถึงทุกวันนี้

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ อาตมาถือว่า มันเป็นวิบากกรรม และที่สำคัญวิบากกรรม ก็คือผลที่เกิดขึ้น คือผลที่ติดตามมาจากเหตุ หมายถึงผลกรรม ผลที่เกิดจากกรรมที่ทำไว้ก่อน ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว ล้วนมีวิบากคือผลทั้งสิ้น โดยกรรมดีมีวิบากเป็นสุข กรรมชั่วมีวิบากเป็นทุกข์ ผลวิบากนี้  สอนย้ำเตือนให้อาตมารู้ว่า ชีวิตต้องดำเนินต่อไป อย่าไหวหวั่นหวาดกลัวกับมาร ที่จ้องมาผจญ หรือรนรานขาดสติขาดสมาธิไม่ได้โดยเด็ดขาด

เรื่องยังไม่จบโยม จากนั้นวันที่ 17 ก.ย.56 มีหนังสือจากDSI ให้นำรถคันนี้ไปตรวจสอบ กำหนดทำการตรวจในวันที่ 25 ต.ค.56 พอถึงเวลาอาตมานำไปตรวจตรงเวลาเป๊ะ ผลการตรวจระบุออกมาว่า “เป็นรถยนต์ที่ประกอบขึ้นในประเทศจากชิ้นส่วนรถยนต์เก่า” สรุปเรื่องนี้จบ อวสานตามทำนองครองธรรม ไม่มีความผิดใด เพราะมันไม่ผิด กรรมอยู่ที่การกระทำและเจตนา แต่ในกรณีของอาตมามันคือวิบากกรรม รถขับไม่ได้เป็นรถโบราณ ก็ยังจะยัดเยียดให้เป็นรถหรู นี่คือเหตุที่ทำให้ต้อง ปลง” เช่นกัน

กลายเป็นจำเลยสังคม ถูกกล่าวลอยๆ เรื่องนี้สอนให้อาตมาได้รู้ว่า การที่เราไม่ผิดแล้วถูกกล่าวหา อย่าใช้อารมณ์บันดาลโทสะ -โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า อารมณ์แก้ปัญหาอะไรไม่ได้ นำมาแต่จะทำให้ฉิบหาย

ครูบาอาจารย์สอน เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร การผูกเวรเหมือนกับการผูกพยาบาท เมื่อต่างฝ่ายต่างผูกใจเจ็บ เวรก็ไม่สามารถระงับลงได้ แต่หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลิกผูกเวรเสียด้วยการให้อภัยแผ่เมตตาให้เสมอๆ เวรย่อมระงับลงได้ในเวลาไม่นาน

โยมทุกท่านจงจำไว้เถิด การไม่ผูกเวร ทำให้จิตใจเราสบาย เมื่อใดใจผูกเวร เมื่อนั้นมองไปไหนก็เห็นแต่ศัตรู แต่เมื่อใดใจของเราไม่มีเวรกับใคร มีแต่เมตตาปรานี เมื่อนั้นมองไปทางใดก็เจอแต่มิตร

เพราะฉะนั้นญาติโยมทั้งหลายพึงสำเหนียกไว้เสมอว่า จงอย่าเห็นแก่กาลยาว จงอย่าเห็นแก่กาลนั้น เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร นี่เป็นธรรมเก่า เพราะฉะนั้นผู้ฉลาด เพื่อความสบายใจของตนเอง จึงไม่ควรผูกเวรไว้กับใครๆ จงจำแต่ความดีที่ผู้อื่นทำแก่ตน แต่อย่าจำความร้ายที่เขาทำให้ เพราะมันไม่มีประโยชน์แก่จิตใจ

ทำไมอาตมาถึงบอกว่า อย่าเห็นแก่กาลยาว นั้น หมายความว่าอย่าผูกเวรเอาไว้ เพราะเวรยิ่งผูกก็ยิ่งยาว คำว่า อย่าเห็นแก่กาลสั้น นั้น หมายความว่า อย่ารีบด่วนแตกจากมิตร มี อะไรก็ค่อยๆ ผ่อนปรนกันไป ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจเข้าใจผิดก็ได้ อย่าด่วนลงโทษใครง่ายเกินไป และอย่ารีบแตกจากใคร ขอให้พิจารณาเสียร้อยครั้งพันครั้ง

อุทาหรณ์ของเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมคืนสนอง เพราะกรรมคือการกระทำ ที่เกิดจาก กาย วาจา ใจ ของเราอย่างแท้จริง

กุศลกรรมคือกรรมดี อกุศลกรรมคือกรรมชั่ว ทำสิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้นตอบกลับมา หาตัวเราเอง ญาติโยมทุกท่านรวมถึงตัวอาตมา ต่างมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ทำกรรมอันใดไว้ เป็นบุญก็ดี เป็นบาปก็ดี เราจะเป็นทายาท ต้องได้รับผลของกรรมนั้นสืบไป เฉกเช่น หลายสิ่งบนโลก ล้วนเกิดจากความผิดพลาดมารวมกัน ก่อนหล่อหลอมกลายเป็นความสมบูรณ์ ที่แสนงดงามในวันนี้ ฉะนั้นญาติโยมควรพิจารณาอย่างนี้ ทุกวันๆ เถิดจักเกิดผลสุขต่อชีวิตอย่างแน่นอน ขอเจริญพร...

พิธีขอขมากรรม ส่งท้ายปีเก่ารับพรปีใหม่

บทความที่ได้รับความนิยม