ร่วมบูชาวัตถุมงคล วัดไผ่ล้อม นครปฐม

วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ต่างคนต่างมี หญิง54 ปิ๊งรักแท้ ชาย58 
โยมสงสัย ผิดมั้ยที่คลั่งไคล้ผู้ชายคนนี้
คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม

เจริญพรญาติโยมพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สัปดาห์นี้อาตมา ต้องขออนุญาตนำต้นฉบับเรื่องนี้มาลงตีพิมพ์ “แซงคิวก่อน” เพราะเป็นเรื่องเร่งด่วน ที่อาตมาพิจารณาแล้ว คิดว่าน่าจะมีความสำคัญอย่างมากต่อชีวิตผู้คนในสังคมยุคปัจจุบันวันนี้ และยังเชื่ออีกว่า หลายๆครอบครัวกำลังเผชิญ กับปัญหานี้อยู่หลายคู่ครอง หลายบ้านเรือน อย่างแน่นอน

มาเข้าเรื่องกันเลย.... โยมสีกาที่โทร.เข้ามาสายนี้ เป็นสุภาพสตรี ปัจจุบันอายุ 54 ปี เป็นชาวสองแคว เมืองพิษณุโลกโดยกำเนิด เคยมีสามีมาแล้ว มีบุตร 1 คน กับสามีคนแรก จากนั้นก็เลิกรา มามีสามีคนที่ 2 แต่ไม่ได้มีบุตรด้วยกัน ท้ายสุดก็เลิกราไปอีกราย

วันเวลาผันเปลี่ยน โยมหันเหชีวิตข้ามน้ำข้ามทะเลบินลัดฟ้าไปทำงานดูแลผู้ป่วย ที่ประเทศเยอรมนี การดำเนินชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศ โยมบอกสุขสบายดี เพราะการทำงานด้านนี้ ถือเป็นการอุทิศตนเสียสละดูแลผู้ที่กำลังมีความทุกข์เพราะความเจ็บไข้ได้ป่วย

เมื่อการงานดำเนินไปได้ด้วยดี ก็เริ่มพบรักกับหนุ่มใหญ่ชาวเยอรมนี “มีใจให้กัน” ตกลงปลงกายร่วมหอลงโลง แต่งงานอยู่กินฉันสามีภรรยา มีพยานรักมีบุตร 1 คน ชีวิตสุขสบายตามอัตภาพ แต่การอยู่ต่างประเทศนานๆ ย่อมเกิดความเหงา เพราะไม่ใช่บ้านของเรา เวลาทำงานก็ลืมได้ชั่วขณะ พอจิตหยุดนิ่ง ก็นิมิตถึงคนคุ้นเคย โดยเฉพาะเพื่อนพ้องน้องพี่ พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย….

“นานทีปีหนคนเราไปอยู่เมืองนอกเมืองนา ย่อมคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอน ย่อมอยากกลับมาเยี่ยมญาติพี่น้อง”

ล่าสุดโยมตัดสินใจกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดเมืองสองแคว ที่ประเทศไทย พักผ่อนยาวนานหลายเดือน ส่วนสามีชาวเยอรมนีไม่ได้มาด้วย ต้องทำงาน เพราะลาไม่ได้ โยมจึงจำเป็นต้องมาคนเดียว แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะถึงอย่างไรเมืองไทยพิษณุโลก “โยมคุ้นชิน” มีญาติพี่น้องอยู่ทั่วเมือง!!!

วันเวลาผ่านไป ปรากฏว่า โยมได้มีโอกาสพบกับหนุ่มใหญ่วัย 58 ปี อาชีพการงานดี รับราชการตำรวจ เป็นถึงท่านสารวัตร แต่เขาก็มีภรรยาและลูกอยู่แล้วเช่นกัน

“โยมยอมรับกับอาตมา เมื่อแรกเห็นหน้า พบปะ พูดคุยสัมผัสแล้ว นับเป็นความรู้สึกใหม่ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิต”.... อาตมาเปรียบปัจจุบันขณะของโยมเวลานี้ เหมือนสิ่งที่มากระทบน้ำ ทำให้เกิดคลื่นฉันใด สิ่งที่มากระทบใจ ก็ทำให้เกิดทุกข์ฉันนั้น

บ่อยครั้งที่โยมหันมานั่งทบทวน ถามตัวเองว่า เราผิดหรือไม่ ที่จู่ๆก็มาปิ๊งผู้ชายคนนี้ ทั้งที่ยังสับสน กระวนกระวายใจ คิดไม่ออกบอกใครไม่ได้ ไม่รู้จะถามใครดีว่านี่ใช่รักแท้หรือไม่!?!

พอได้สตินึกขึ้นได้ ที่ผ่านมา ถึงแม้จะอยู่เยอรมนี แต่ก็ยังเป็นแฟนประจำมติชนสุดสัปดาห์ เคยอ่านคอลัมน์จุดไฟในใจคน ของหลวงพี่น้ำฝน เป็นประจำ คอลัมน์นี้น่าจะช่วยไขข้อกังวนใจได้.....

ไหนๆก็เกิดเหตุการณ์เฉกเช่นนี้กับเราแล้ว จะช้าอยู่ใย ทำไมไม่โทร.ถามท่าน โยมจึงตัดสินใจโทร.ปรึกษาหลวงพี่น้ำฝนในทันที....

....อาตมาเมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดที่โยมเล่ามาแล้วอย่างกระจ่าง รู้สึกเห็นใจและเข้าใจในความรู้สึกของโยมในขณะนี้เป็นอย่างยิ่ง

หัวอกลูกผู้หญิง ย่อมคิดหน้าคิดหลัง และรอบคอบในความรักเสมอ โยมถามว่า ที่ทำไปเช่นนี้ผิดหรือไม่....

อาตมาขอตอบ....ถ้าคิดในแง่ศีลธรรม โยมทำผิดศีลข้อ 3 แน่นอน ฟังนะ.... กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ คือ เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม หมายถึงการร่วมประเวณีในบุรุษและสตรีที่ไม่ใช่สามี ภรรยาคู่ครองของตนเอง

แต่ถ้าพลิกมุมมอง ในเหลี่ยมมุมของสังคมโลก โดยเฉพาะในสังคมยุคปัจจุบันวันนี้ ส่วนใหญ่แล้ว มักมีปัญหาเรื่องนี้มาก ไม่เว้นแม้แต่ลูกศิษย์ของอาตมาหลายๆคน ก็เข้าไปสู่วงจรเหตุการณ์เช่นนี้

สำหรับกรณีของโยม อาตมาให้สติไว้ 2 มุมคิด มุมที่ 1 ถ้ามองในเรื่องของศาสนาพุทธ เจาะเข้าไปถึงเรื่องบาปบุญคุณโทษ ก็ต้องถือว่าโยมได้ทำผิดกฎ ที่ห้ามไว้ชัดเจน อย่างชนิดหลีกเลี่ยงไม่ได้ชัวร์!?!

ส่วนมุมที่ 2 อาตมาอยากให้โยมมองในสังคมโลก ที่ยุคสมัยมันแปรเปลี่ยน คนเปลี่ยน สิ่งแวดล้อมเปลี่ยน สถานะยุคปัจจุบัน มันมีการผันแปรพลิกผันตามเหตุปัจจัยที่เอื้ออำนวยให้ต้องปฏิบัติ... เมื่อเหตุการณ์มันเกิดขึ้นแล้ว โยมจะแก้ไขอย่างไร???

อาตมาให้ความสำคัญที่ใจเป็นหลักใหญ่ ถามว่าสุขหรือไม่ ที่โยมได้รักเขา ถ้าอยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข ก็ไม่แปลกที่จะรัก

และขอถามอีกว่า โยมปรารถนาดีต่อกันหรือไม่ ถ้าให้ความรักและมอบความรักด้วยความบริสุทธิ์ใจ ให้ความเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง

“ปรึกษาหารือดูแลซึ่งกันและกันฉันกัลยาณมิตร ก็ในเมื่อจิตคิดดี กายปฏิบัติดี ทุกอย่างก็จบ ลงตัวตามครรลอง ใครก็ว่าไม่ได้อย่างแน่นอน”

ถามหัวใจเสียก่อน ว่าเป็นความสุขที่แท้จริงหรือไม่ เป็นรูปธรรมที่สามารถสัมผัสได้ ทั้งทางกาย วาจา ใจ หรือไม่

ถ้าดีแล้วไซร์ ก็ทำไป แต่อย่าให้ใครเดือดร้อน ต้องตั้งอยู่ในเหตุและผลแห่งคุณงามความดีเป็นสำคัญ

แต่ต้องอย่าลืมว่า ต้องอย่าให้ครอบครัวแตกร้าว ก็ในเมื่อศีลข้อ 3 เขาห้าม เขาเตือนไว้แล้ว รู้ว่าบาป แล้วเชื่อกันมั้ยล่ะทุกวันนี้ ก็ไม่มีใครเชื่อ ไม่กลัวบาป ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็ต้องปรับเปลี่ยน แนวคิดใหม่ แม้แต่แนวทางการสอน ก็ยังต้องปรับแต่งให้ทันสมัย

ในเมื่อมันผ่านเหตุการณ์นี้ไปแล้ว ก็ควรรังสรรค์ให้มันดี ดำเนินชีวิตตนเองและครอบครัวไปให้ได้ อย่าให้เดือดร้อน ทำให้ดีที่สุด

ในฐานะที่ตัวของโยมเอง เป็นผู้กำหนดเองทุกเรื่อง สร้างเอง ก่อเอง ก็ต้องประคองให้ดี “เหมือนการที่เราอยู่บนเรือ จะพายอย่างไรให้ถึงฝั่ง จะทำอย่างไรไม่ให้เรือล่มเรือจ่ม เวลาที่เรือรั่วจะอุดอย่างไรไม่ให้น้ำเข้า จะวิดน้ำที่เข้าเรือออกอย่างไรให้ทันการณ์” เพราะนี่คือการประคับประคองชีวิต ที่ต้องดำเนินต่อไป

“ในเมื่อลมหายใจยังมีอยู่ ครอบครัวสำคัญทั้งคู่ สำคัญทั้งหมดทุกฝ่าย”

ยกตัวอย่างเหมือนร่างกาย ย่อมขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้ เจ้าของร่างต้องถนอม ออมชอมเอาไว้ ด้วยหัวใจแห่งความเมตตา เสียสละ ให้อภัย

เมื่อถึงเวลามันก็ผ่านไปได้อย่างแน่นอน อาตมาขอเอาใจช่วยโยมทุกท่าน ที่กำลังก้าวผ่านเหตุการณ์นี้ วันเวลาคือเครื่องพิสูจน์ ว่าเราจะอดทนได้มากน้อยแค่ไหน กับใจที่อ่อนไหว โอนเอน เมื่อยามเจออุปสรรคปัญหา

“ความทุกข์ ก็เหมือนนก บินข้ามหัวเราไป ข้ามหัวเรามา เราไม่สามารถห้ามนกไม่ให้บินข้ามหัวเราได้ แต่เราสามารถห้ามไม่ให้มัน ทำรังบนหัวเราได้” !!!

ฉะนั้นต้องมั่นคง อย่ากลัวที่จะต้องอยู่กับความจริง ตัดสินใจแล้วก้าวต่อไปข้างหน้า ขอให้ญาติโยมพุทธศาสนิกชนทุกท่านประสบความสำเร็จในชีวิตตามเป้าหมายที่หวังไว้ทุกท่านทุกคนเทอญ...ขอเจริญพร

พิธีขอขมากรรม ส่งท้ายปีเก่ารับพรปีใหม่

บทความที่ได้รับความนิยม