ร่วมบูชาวัตถุมงคล วัดไผ่ล้อม นครปฐม

วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556

บาปหรือไม่!? ที่ตัดสินใจไปทำแท้ง 
โยมละแวง ‘หลอนทารกเฝ้าติดตาม’
คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม

เจริญพรญาติโยมพุทธศาสนิกชนทุกท่าน ตามที่สัปดาห์ที่แล้ว ได้ทิ้งท้ายไว้ว่าจะนำเรื่องของคุณโยมที่ไปทำแท้งมาแล้ว และถามว่าบาปหรือไม่

ฉะนั้นฉบับนี้ อาตมาจะได้เล่าเรื่องราวสาระ จากเหตุการณ์คำถามจริงๆ ซึ่งเป็นเรื่อง ของโยมสีกาจากประเทศจีน เธอเล่าว่า... เคยไปทำแท้งมาแล้ว 4 ครั้ง รู้สึกกังวนใจ จนกลายเป็นความหวาดกลัว บางครั้งเหมือนคนวิตกจริต คิดไปต่างๆนานา บางทีก็มีความรู้สึกเหมือนมีเด็กทารก มาเฝ้าติดตามหลอกหลอนตลอดเวลา

ทุกวันนี้โยมมีความทุกข์ใจมาก ถามอาตมา มีวิธีไหนแก้ไขให้คลายทุกข์ลงได้บ้าง อาตมาก็เลยให้แสงสว่างไปว่า....ก่อนอื่นโยมต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า อะไรคือต้นเหตุ ที่ต้องไปทำแท้ง อาตมาเชื่อว่าโยมมีเหตุผลเพียงพอ

และที่สำคัญโยมรู้อยู่แล้ว กฎหมายบ้านโยม ห้ามมีลูกเกิน 1 คน ฉะนั้นเมื่อพลาดพลั้ง โยมก็ต้องไปทำแท้ง

กล่าวสำหรับประเด็นแรกที่ต้องแก้ไข คือ มนุษย์เราเมื่อทำสิ่งใดพลาดไปแล้ว ไม่ควรทำพลาดอีก อย่าทำผิดซ้ำซากอีก โยมต้องอยู่กับความจริง อยู่กับลมหายใจที่เหลืออยู่ ควรคิดถึงคนในครอบครัว คนที่เรารัก คนที่เราต้องรับผิดชอบ

จงจำไว้ ชีวิตต้องดำเนินต่อไป การคิดมาก ความทุกข์ใจ ความกังวนใจ คืออุปสรรคในการก้าวไปข้างหน้า อนาคตของคุณโยมยังไปอีกยาวไกล หมั่นทำความดี ขยัน ซื่อสัตย์ อดทน รู้บุญคุณคน ทั้งหมดนี้คือ ความกตัญญูกตเวที อันถือเป็นเครื่องหมายของคนดีอย่างแท้จริง

สิ่งที่พลาดพลั้งไปแล้ว คือ บทเรียนราคาแพง ที่ควรนำมาสอนตนให้เกิด “ศีล สมาธิ ปัญญา”

การดำเนินชีวิตทุกลมหายใจเข้าออก ต้องมีสติ รู้เท่าทัน รู้จักการระวัง ป้องกัน “กาย วาจา ใจ”

มีความละอายใจ เกรงกลัว “บาป บุญ คุณ โทษ” และต้องไม่ประมาท เรียนรู้ความพลาด แล้วจุดประกายสร้างเป็นพลัง ประคองชีวิต “เดินสายกลาง” ไม่เอียงไปด้านใดด้านหนึ่งให้มากจนเกินเหตุปัจจัย

พลิกชนวนต้นเหตุที่ทำพลาด ฟื้นเป็นโอกาส เพื่อสร้างสรรค์ชีวิตใหม่ๆ ยกตัวอย่าง ญาติโยมหลายท่าน เมื่อสมัยวัยรุ่น จิตฟุ้งซ่านคึกคะนองคิดว่า เรานี่ซ่ามากเลย ลองผิดลองถูกมาเยอะเหมือนกัน ที่ผ่านมาญาติโยมหลายท่าน ก็เคยผิดพลาดบ่อย แต่พอถึงจุดสุดท้าย ก็คิดได้เอง โดยการให้โอกาสตัวเอง ลุกขึ้นมาสู้ใหม่ ไม่ใช่พอทำอะไรผิดพลาดแล้ว ก็พยายามซ้ำเติมตัวเองอยู่อย่างนั้นร่ำไป หลักยึดแบบนี้มันเป็นวิธีการที่ผิดพลาดอย่างมหันต์

ส่วนเรื่องที่ว่า มีภาพหลอน จินตนากาลเห็นเด็กมาเฝ้าติดตามตลอดเวลานั้น ลักษณะนี้เป็นการย้ำคิด ย้ำจำ ทำให้กังวน ระคนคิดให้เห็นเป็นภาพลวงหลอกตนเอง สรุปก็คือ “ฟุ้งซ่าน”

สิ่งที่เราคิดเอง กลายเป็นภาพหลอน พยายามคิดให้เป็นจริง เพราะความกลัว เป็นตัวสร้างให้เห็นมโนภาพ ประเด็นนี้แก้ได้ไม่ยาก ทำงานให้เยอะขึ้น งานอะไรที่ยังทำค้างไว้ นำมาสานต่อ ทำให้หมด ทั้งงานยาก งานง่าย งานในอดีตที่ยังไม่จบ งานปัจจุบันประจำวัน งานอนาคตที่ต้องทำ เอามาทำเสียให้ครบถ้วนกระบวนความ

“นี่คือวิธีทำให้ลืม แถมได้งาน เกิดประโยชน์มากมาย ได้สาระ ชีวิตมีค่ามีคุณ ขึ้นมาในทันที”

ฉะนั้นญาติโยมท่านใดที่ชีวิตตรงประเด็นนี้ เริ่มทำได้เลย.... ปฐมบทต้องเริ่มจากการลืม คิดใหม่ ทำใหม่ หากิจกรรมดีๆ ทำให้เพลิน สนุกกับงาน อ่านหนังสือ สวดมนต์ ปลูกต้นไม้ ทำกิจกรรมในเชิงสัมผัส “แล้วก็จะยิ้มได้”

อย่ากังวลกับเรื่องเวรกรรม บาปบุญ เพราะมันจะขวางทาง ที่โยมทั้งหลายจะเดินไปสู่ความสงบ และหลักธรรมที่แท้จริง

จริงอยู่ “กรรม”ไม่สามารถลบล้างกันได้ แต่ถ้า “คิดดี ทำดี” ก็บรรเทาสิ่งพวกนี้ในเชิงช่วยได้เช่นกัน

ดังนั้นถ้าคิดมาก ทำให้จิตใจไม่แจ่มใส เกิดการวิตกหดหู่ แล้วชีวิตจะอยู่ได้อย่างไร เมื่อจิตใจหม่นหมอง ความคิดพวกนี้ เป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์อย่างแน่นอน

“เรื่องบาปบุญ เมื่อครั้งพุทธกาล ในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านอาพาธ ท่านก็ไม่ได้ใช้พรวิเศษใดๆรักษา หรือสวดบทอะไรรักษาเลย ท่านก็รักษาไปตามสภาพ ทานยาเหมือนพวกๆเรานี่แหละ”

ฉะนั้นถ้าเราคิดดีทำดีทำถูกต้อง ก็ไม่ต้องไปวิตกวิจารณ์เรื่องพวกนี้ให้มากจนเกินไป ถือว่าเราเดินมาถูกทางแล้ว สมองและจิตใจจะได้แจ่มใส เรื่องบางอย่างไม่ต้องไปคิดรับรู้มากเรื่องมากความ นิ่งๆเสียบ้างก็ดี สบายหัวดีออก

ส่วนกรณีการทำแท้งไปแล้ว ถ้าโยมอยากทำคุณไถ่โทษกับการทำแท้ง ง่ายๆนิดเดียว ทำใจให้เบิกบาน ได้อย่างคนดีๆคนหนึ่ง ฝังความมืดไว้กับอดีต ไม่นำความมืดติดตัวมาบดบังวันนี้ให้หมองหม่น เปล่าประโยชน์

และถ้าอยากจะทำบุญจริงๆ บุญที่ทำนั้น ขอให้ครบวงจรจะดีที่สุด ทั้งการให้ทานและการรักษาศีล

ในส่วนของการให้ทาน ก็ทำไปตามอัตภาพ “การให้ การแจก การบริจาค” ล้วนเกิดคุณธรรมความจริงทั้งสิ้น ช่วยเหลือเจือจานผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก “อนาถอนาถา” ให้เขาได้ลืมตาอ้าปาก ย่อมสุขใจทั้งผู้ให้และผู้รับ

ในส่วนของการรักษาศีล ให้เน้นการถือศีลข้อแรกให้บริสุทธิ์ คือตั้งใจว่าต่อไปเราจะไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอย่างเด็ดขาด และต้องไม่ลืมการรักษาศีลห้า ที่ฆราวาสต้องไม่พลาดหรือปล่อยปละละเลย

และให้คิดเสมอในหลักความจริง อาตมาเชื่อว่าคุณโยมทุกคนที่ไปทำแท้ง ล้วนมีเหตุผล เฉกเช่น ประเด็นแรกคือ เจตนาตั้งใจเพราะไม่ต้องการให้เขาเกิด ประเด็นต่อมา ทำแท้งโดยเหตุจำเป็น เนื่องจากผลต่อสุขภาพทั้งแม่และเด็ก

เมื่อได้กระทำเสร็จสมบูรณ์แล้ว ย่อมได้รับความไม่สบายใจ ติดตามมาทั้งสองกรณี ในส่วนตัวของเรา ต้องทำให้มันเบา ทำใจของเราให้ว่าง สงบ เย็น

เริ่มชีวิตใหม่ในหน้าที่การงาน สร้างบุญสร้างกุศล สร้างความดีในพุทธศาสนา เน้นการมีจิตที่สูงขึ้น สะอาดและบริสุทธิ์มากขึ้น จิตย่อมไม่เสื่อม ยิ่งบำรุง ยิ่งงอกงาม

อยู่กับปัจจุบันอารมณ์ คือขณะจิตปัจจุบัน อย่าได้กังวลกับอดีตที่ผ่านมาแล้ว และอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

สิ่งใดที่ "คิดว่า พลาดไปแล้ว" ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ ถ้าไม่สบายใจก็อย่ากลับไปทำสิ่งนั้นอีก ก็เท่านั้นเอง

คุณโยมส่วนใหญ่ที่ทำผิดพลาด มักฟันธงคิดว่าทุกข์ที่มีอยู่ทุกวันนี้ จะอยู่กับคุณโยมไปตลอดนั้น ไม่ใช่หรอก เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใบนี้ ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน

วันนี้สุขมากมาย พรุ่งนี้อาจจะทุกข์เสียเหลือเกิน หรือวันนี้คุณโยมทุกข์ทรมานเหมือนจะตายให้ได้ แต่ใครจะรู้ว่าพรุ่งนี้คุณโยมอาจจะมีความสุขสุดหัวใจ ก็เป็นได้เช่นกัน
ขอให้คิดว่า “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” ...ขอเจริญพร

พิธีขอขมากรรม ส่งท้ายปีเก่ารับพรปีใหม่

บทความที่ได้รับความนิยม