ร่วมบูชาวัตถุมงคล วัดไผ่ล้อม นครปฐม

วันอังคารที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2557

กิจของสงฆ์ ต้องทำวัตรเช้า-เย็น ห้ามขาด
กุศโลบาย ใครไม่ทำ เจ้าอาวาส ‘ปรับเงิน’
จุดไฟ อยู่อย่างประชาธิปไตย ภายใต้เหตุผล

คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม


เจริญพรญาติโยมทุกท่าน ตลอดทั้งอาทิตย์ อาตมารับโทรศัพท์ จากหลายวัด โทร.ปรึกษา เรื่องการทำวัตร ที่พระเณรส่วนใหญ่ขี้เกียจไม่ยอมทำ อ้างสารพัด และสุดท้ายเริ่มขาดหายไปจนหมด เฉกเช่นคำฮิต “มาสายเป็นนิจ ล่ากิจเป็นประจำ การงานชอบเลี่ยง ส่งเสียงเอะอะ” ส่งผลให้สมภารเอือมระอา ขอความเมตตา “ช่วยจุดไฟในใจพระเณร หน่อยเถอะ หลวงพี่น้ำฝน”

มีข้อสงสัยทำไมพระวัดไผ่ล้อม ถึงทำวัตรเช้าเย็น เป็นระเบียบ ถามอาตมา “ใช้เทคนิคสูตรเด็ดอะไร ในการบริหาร”
ก่อนอื่นขอเล่าอดีตที่ผ่านมา คราหลวงพ่อพูล ยังมีชีวิต อาตมารับใช้ใกล้ชิดสนองงานตามคำสั่งมอบหมาย

หลวงพ่อเป็นพระพูดน้อย ยิ่งพอใกล้ละสังขาร ไม่พูดเลย นิ่งเป็นใบ้ ได้รับสมญา “พระจริงต้องนิ่งใบ้”

พอท่านใบ้แล้วใครจะทำหน้าที่ อาตมาสวมวิญญาณร่างทรง ทำหน้าที่ตั้งแต่ “สากกะเบือยันเรือรบ”

หลังท่านละสังขาร มีการประชุมเลือกเจ้าอาวาส ที่วัดใช้ระบบประชาธิปไตย พระทุกรูปลงมติเลือกให้อาตมาเป็นเจ้าอาวาส

อาตมาขึ้นครองตำแหน่ง ด้วยพื้นฐาน เป็นคนไม่ชอบใช้อำนาจ ไม่นิยม “ฟาดงวงฟาดงา” เน้นปรึกษา เจรจาโต๊ะกลม ใช้เหตุผล ใครมีอะไรดีกว่า นำมาโต้แย้ง แล้วสรุปเป็นเอกฉันท์

วัดไผ่ล้อม บริหารงานด้วยวิธี ลองผิดลองถูก มาแล้วมากมาย อันไหนไม่ดี ยังไม่สัมฤทธิ์ผล ต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไขปรับปรุง ไม่นิยมทำงานแบบ  “เช้าชามเย็นยาม” ไม่มีเด็กเส้น ไม่มีพวกมากลากไป ไม่แบ่งกลุ่มแบ่งพวก ที่วัดมีพวกเดียวคือ “พวกเจ้าอาวาสทั้งวัด”

หัวใจสำคัญวัดไผ่ล้อม เน้นความสะอาด อันดับแรกวัดต้องสะอาด พระเณรทุกรูปต้องทำงาน กวาดลานวัด ล้างโบสถ์ คืองานหลัก ต้องทำทุกวัน เป็นการแบ่งหน้าที่ มีตำแหน่งเหมือนทีมฟุตบอล มีศูนย์หน้า กองกลาง ปีกซ้าย ปีกขวา ศูนย์หน้า ประตู ทุกรูปมีหน้าที่ ไม่มีใครรังเกียจเดียดฉันท์ ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ส่วนงานรองลงมาคือ เวลาทางวัดมีงานด่วน มีงานเฉพาะกิจ ต้องการระดมพล อาตมาเป่านกหวีด เมื่อไหร่ ต้องมาครบ ช่วยกันรุมทำให้เสร็จทันการณ์ นี่คืองานที่ต้องการความสามัคคี รวมพลัง พระเณรทุกรูปล้วนสนุกกับงานแบบนี้ เพราะทุกรูปมีพื้นฐานที่รักกันอยู่แล้ว จึงอยากที่จะช่วยกันด้วยความจริงใจ และบริสุทธิ์ใจ

ส่วนเรื่องของหน้าที่หลัก หัวใจของคณะสงฆ์ที่บวชเข้ามาแล้วทุกรูปต้องปฏิบัติ นโยบายของอาตมาในฐานะสมภาร คือ ต้องสวดมนต์ทำวัตรเช้าในเวลา ตีห้าถึงหกโมงเช้า แล้วก็ไปบิณฑบาต ทำภารกิจส่วนตัว ส่วนช่วงเย็นเวลาห้าโมงถึงหกโมงเย็น ก็ต้องทำวัตรสวดมนต์เย็น ตามกฎระเบียบที่วางไว้

ใหม่ๆยังหาวิธีที่แยบยลไม่ได้ มีขาดมีหายกันไปบ้าง อาตมาใช้วิธีทำโทษ ให้ทำความสะอาดในจุดต่างๆตามสมควร หรือตัดกิจนิมนต์

ปรากฏว่า วิธีการนี้ไม่ได้ผล พระเณร ยังคงขาดหายไปเรื่อยๆ แบบไม่เกรงกลัว ไม่อายฟ้าดิน เนื่องเพราะโทษอาจจะเบาไป หรือทุกคนมองเป็นเรื่องธรรมดา “กูจะลาและหายแบบนี้ไม่เห็นจะมีอะไร” เพราะมันไม่มีผลแก่ชีวิต และที่ทำแบบนี้ได้คือพวกหน้าด้านหน้าทนจริงๆ

จากนั้นอาตมาก็ได้ปรับเปลี่ยนมาแล้วสารพัดวิธี ไม่สำเร็จสักครั้ง

สุดท้ายอาตมาปิ๊งไอเดียใหม่ล่าสุด มั่นใจว่าต้องสำเร็จแน่นอน นั่นคือถ้าใครขาด ให้ปรับเงิน หนึ่งพันบาทต่อหนึ่งครั้ง โดยออกเป็นกฎเหล็ก ห้ามขาด ห้ามลา ยกเว้นถ้าใครมีภารกิจจำเป็นจริงๆลาได้ แต่มีข้อแม้ต้องมาลาเป็นการส่วนตัวกับเจ้าอาวาสเท่านั้น

ส่วนเงินที่ปรับลงกองกลาง ตั้งเป็นกองทุนไว้เลี้ยงภัตตาหารพระเณรในยามที่ขัดสน

สรุปวิธีนี้ได้ผลเกินคาด พระเณรไม่มีใครยอมขาด ขยันขันแข็งทำวัตรสวดมนต์เช้าเย็น เห็นผลทันตา ส่วนรูปไหนที่ขาดแล้ว บอกไม่มีเงินจ่าย ก็ไปหักจากกิจนิมนต์ โยมใส่ซองถวายมา ก็หัก ณ ที่จ่าย ไม่มีการผ่อนปรน ต้องเด็ดขาด สุดท้ายระเบียบวินัยก็เกิด กลายเป็นความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย ได้ผลเป็นรูปธรรม

นี่คือสิ่งที่อาตมาภาคภูมิใจ ที่ทำให้วัดไผ่ล้อมสะอาดตา รวมถึงพระเณรมีระเบียบวินัย ทำวัตรสวดมนต์ ที่เป็นกิจของสงฆ์ การสวดมนต์เป็นการเจริญสมาธิอีกอย่างหนึ่ง ที่ได้ครบ ทั้งศีล สมาธิ และปัญญา พระเณรวัดไผ่ล้อมสวดมนต์เก่งทุปรูป และที่สำคัญอาตมามีความเชื่อว่า พระเราต้องสะอาดทั้ง กาย วาจา ใจ มิใช่ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ แบบผลาญข้าวสุกชาวบ้าน เฉกเช่นที่ญาติโยมเขียนเหน็บไว้ว่า “เช้าเอน เพลนอน กลางวันพักผ่อน กลางคืนมาม่า” หรือที่โบราณชอบว่า พวกพระไม่เห็นจะมีอะไร วันๆก็แค่ “บิน บัง สัง สวด” ขยายความก็คือ เช้าก็บิณฑบาตขอทาน ขอสตางค์ ขออาหาร พอกลับมาวัดก็รับบังสุกุล สังฆทาน สวดมนต์ ชีวิตก็มีอยู่แค่นี้ อยู่ไปวันๆไร้แก่นสาร

อาตมาคิดว่า พระเราต้องปฏิวัติใหม่ พออาตมาได้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาส จึงพยายามคิดค้นสูตรที่จะทำให้วัดเป็นวัดจริงๆ ให้พระเป็นพระแท้จริงๆ มิใช่มาบวชอาศัยผ้าเหลืองทำมาหากิน

ที่วัดไผ่ล้อม ถ้าใครคิดจะมาบวชที่นี่ ต้องทำใจ ขี้เกียจไม่ได้ เรียนก็ต้องเรียน งานต้องทำ กิจของสงฆ์ยิ่งต้องทำหนัก ให้เน้นความเพียรความอดทนเป็นหลัก ถึงจะอยู่ด้วยกันได้ และที่สำคัญเน้นประชาธิปไตยล้วนๆ ไม่เอาเผด็จการ!!!

คอลัมน์จุดไฟในใจคน ฉบับนี้ ถือเป็นการเฉลยเคล็ดลับ ที่ถามกันเข้ามามาก ว่าทำไมพระเณรวัดไผ่ล้อม ถึงทำวัตรสวดมนต์เช้าเย็น เคร่งครัด มิเคยขาด ปฏิบัติเต็มพิกัดทุกวัน

รวมถึงความสามารถผลพวงที่ตามมาปรากฏ พระเณรทุกรูปสวดมนต์ได้ทุกบท แม่นยำ อักขระชัดเจนถูกต้อง พร้อมเพรียง ไปสวดบ้านไหนมีแต่ญาติโยมชม สวดหนึ่งชั่วโมงเต็ม สมบูรณ์แบบที่สุด

ส่วนเรื่องความสะอาดวัดเราครองแชมป์มานานแล้ว ไม่มีใครลบสถิตินี้ได้

สรุปท้ายสุดนี้ อาตมาขอฝากไปยังผู้ปกครอง ผู้เป็นใหญ่หรือผู้นำสังคมทั้งหลาย ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้ผู้น้อยเห็น อาตมายึดหลักการปกครอง ต้องมีคุณธรรมคือขยันหมั่นเพียร ใช้ปัญญารู้เท่าทันเหตุการณ์ เมื่อมีคุณธรรม คุณภาพก็จะตามมาเองในที่สุด

การบริหารมีล้มลุกคลุกคลานบ้าง สำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา สำคัญต้องมีน้ำใจที่ตื่นตัวเสมอ ลุกขึ้นทำงานทุกขณะ คิดไปในทางก้าวหน้าตลอดเวลา และต้องกล้าที่จะเผชิญกับความลำบากในการทำงาน ไม่ว่างานนั้นจะสูงหรือต่ำ

ต้องเดินหน้าเรื่อยไปไม่หยุด ทำต่อเนื่อง “ไม่ใช่ขยันแบบกิ้งก่า วิ่งไปแล้วก็หยุด วิ่งไปแล้วก็หยุด และไม่ใช่ลักษณะพลุ ที่สว่างแวบเดียวแล้วก็หมดกัน”

คนทำงานกับอาตมา “เก่งไม่กลัว กลัวช้ามากกว่า” ต้องรวดเร็ว เรียบร้อย ได้ผลงาน

ข้อคิดทั้งหมดนี้โยมสามารถนำไปใช้ เป็นกลไกบริหาร

ถ้าทำได้ เชื่อว่าเจริญรุ่งเรืองแน่นอน...ขอเจริญพร

พิธีขอขมากรรม ส่งท้ายปีเก่ารับพรปีใหม่

บทความที่ได้รับความนิยม