ร่วมบูชาวัตถุมงคล วัดไผ่ล้อม นครปฐม

วันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2557

ความรักคืออะไร?
หลวงพี่มีคำตอบ?
คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม

เจริญพรญาติโยมทุกท่าน สัปดาห์นี้เป็นห้วงที่หลายครอบครัวมีความสุข สัมผัสบรรยากาศกลิ่นอายส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ “ระทึกสุขทุกอณูของร่างกาย” 

อาตมาตัดสินใจคัดสรรเรื่องความรักคืออะไร? ในสไตล์ “รักแท้” ที่หาได้ยากยิ่งในยุคปัจจุบัน เป็นเรื่องราวของลูกศิษย์ท่านหนึ่ง มีตำแหน่งเป็นรองผู้อำนวยการ สถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง (ขณะนี้เกษียณแล้ว) โยมยึดอาชีพ “ครูผู้ให้” มาทั้งชีวิต

โยมเล่าให้ฟังว่า... “เมื่อปีพ.ศ.2526 สมัยยังเป็นสาวๆ มีแฟนเป็นทหาร ยศจ่าสิบเอก ทำงานเป็นสัสดี อยู่ที่จังหวัดสุโขทัย มีอยู่วันหนึ่งต้องไปตามทหารเกณฑ์ ที่หนีทหารไปจังหวัดพิษณุโลก และต้องไปนำตัวกลับมาทำหน้าที่รับใช้ชาติก่อนปลดประจำการ”

ระหว่างขากลับนั่งรถประจำทาง พอเข้าเขตจังหวัดพิษณุโลก รถเกิดอุบัติเหตุเสียหลักพลิกคว่ำ นำตัวเข้ารักษาที่โรงพยาบาล แพทย์ระบุกระดูกสันหลังเคลื่อน จากนั้นก็กลายเป็นอัมพาตในที่สุด
ถึงแม้จะเกิดเหตุการณ์เลวร้าย แต่โยมก็มิได้ทอดทิ้งแต่ประการใด ยังคงเอาใจใส่เลี้ยงดูอย่างดี ทั้งที่ฝ่ายชายกลายเป็นคนพิการ ทำงานไม่ได้อีกแล้ว

จากนั้นนำมาอยู่ที่บ้านจังหวัดราชบุรี ดูแลรักษาพยาบาลอย่างดี ทำกายภาคบำบัดทุกวัน ร่างกายแข็งแรง สามารถช่วยตัวเองได้ในระดับหนึ่ง ถึงแม้จะเป็นอัมพาต แต่ก็ทำอาหารกินเองได้ อยู่คนเดียวได้ ส่วนโยมยังคงรับราชการครู อยู่กินกันอย่างมีความสุข

หัวใจสำคัญที่โยมแสดงออกมาชัดเจนคือ ความรักแท้ และอยู่ด้วยกันฉันเพื่อนร่วมชะตากรรม ประโยคเดียวสั้นๆเพราะความเมตตาสงสาร มีความเห็นใจ ในความโชคร้ายของเพื่อนคู่ใจ แต่ก็ไม่ทอดทิ้ง เสมอต้นเสมอปลายในความรักแท้ ที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย

เพื่อนๆหลายคนบอกว่า “โง่ เอาเขามาทำไม เป็นเวรกรรมเปล่าๆ” แต่โยมก็ไม่ได้สนใจอะไรทั้งสิ้น ยึดเพียง ความซื่อสัตย์ จริงใจ และถือว่า “ชาติที่แล้วโยมคงสร้างเวรสร้างกรรมร่วมกันไว้ ชาตินี้ต้องชดใช้ และอยากใช้กรรมให้หมดสิ้นในชาตินี้” พร้อมทำทุกวิถีทางให้ดีที่สุด

จวบจนปัจจุบันอยู่ด้วยกันครบ 30 ปี เมื่อถึงวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ.2556 โยมผู้ชายเกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลัน เสียชีวิตกะทันหันทันที ในวัย 58 ปี ที่บ้านท่าผา อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี “ปิดตำนานรักแท้ดูแลได้ตลอดเวลา”

อาตมารู้สึกศรัทธาในความจริงใจของโยม ที่เสียสละ ดูแลคนพิการที่เป็นอัมพาต เป็นเรื่องยากยิ่งสำหรับคนปกติ ปัญหาสารพัดที่ตามเข้ามา สะสมจนกลายเป็นความเครียด ความทุกข์ บางคนถึงกับท้อแท้กายใจ แต่โยมไม่เคยแสดงออกถึงความท้อแท้ ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา ฉะนั้นอาตมาจึงอยากเป็นกำลังใจให้กับญาติโยมทั้งหลายที่กำลังประสบปัญหาเดียวกับลูกศิษย์อาตมาท่านนี้

“อาตมาขอชื่นชมในความมีน้ำใจ สมัยนี้หาคนใจประเสริฐน้อยมาก หลายคนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ ต้องการแต่ประโยชน์ แสวงหาแต่ความสุขเข้าตัว ไม่มองคนรอบข้างที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก”


บ้านเมืองของเราทุกวันนี้ คนส่วนใหญ่ขาดน้ำใจ บางครอบครัว พอสามีหากินไม่ได้แล้ว ภรรยาก็ทิ้ง ลืมอดีตที่เคยทุกข์ยากกันมา

ยามที่สามีแข็งแรง เป็นช้างเท้าหน้า เป็นผู้นำครอบครัว หาเงินหาทองมาจุนเจือครอบครัว แต่พอเริ่มแก่ชรา ทำงานไม่ไหว หมดประโยชน์ ภรรยาบางรายก็เริ่มไม่สนใจ ไม่เอื้ออาทรเหมือนเก่า ปล่อยให้สามีกลายเป็นคนแก่นั่งเหงาเศร้าซึม บางคนก็ถูกทอดทิ้งให้อยู่บ้านคนเดียว ไม่ให้ความสุขเหมือนเก่า เหตุการณ์เฉกเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เห็นคุณค่าของคนที่เคยมีพระคุณ

ขาดความกตัญญูกตเวที ไม่รู้บุญคุณ เพราะในใจยังมีเรื่องของกิเลส โลภ โกรธ หลง อยู่เต็มเปี่ยมในกมลสันดาน

อาตมานำเรื่องนี้มาเขียน เพราะเห็นสังคมไทยยุคนี้ ขาดรักแท้ บางบ้านอยู่กันหม้อข้าวยังไม่ทันดำ ก็เลิกราหย่าขาด บางรายแต่งกันไม่ถึงไตรมาส ก็ประกาศเป็นศัตรู ทั้งที่ก่อนหน้านี้บอกรักกันปานจะกลืนกิน โบราณว่า “แรกรัก น้ำต้มผัก ก็ว่าหวาน เก่าไปนาน น้ำตาลยังว่าขม”

ยิ่งรักในวัยรุ่น ยิ่งว้าวุ่นสุดๆ เปลี่ยนคู่เชยชมเป็นว่าเล่น ยิ่งถ้าพ่อแม่ดูแลไม่ดี เด็กก็แอบไปมีเพศสัมพันธ์ ไปทำแท้ง สุดท้ายก็มีลูกในขณะที่อายุยังน้อย เรียนหนังสือไม่จบ ชีวิตต้องพบพาความยากจนข้นแค้น ตกงาน ติดยาเสพติด ทำผิดกฎหมาย กลายเป็นโจรในที่สุด ทุกอย่างเป็นไปตามเสต็ป นั่นคือการเดินเข้าสู่ประตูนรก

ก่อนหน้านี้อาตมาเคยจุดไฟในใจโยม เสมอว่า ประตูสวรรค์มีให้เดินเข้า แต่โยมก็ไม่ชอบเดินเข้า ส่วนใหญ่มักจะเดินเข้าประตูนรก ทั้งที่ประตูนรกใส่กลอนไว้แน่นหนา แต่โยมก็ยังช่วยกันงัด แล้วดันตัวเองเข้าไปจนได้

ประตูสวรรค์เปิดอ้ารับไว้สองบานใหญ่ กลับไม่มีใครสนใจเดินเข้า เปรียบเทียบให้เห็นชัดเจน การทำความดีนั้น ง่ายแสนง่าย ทำได้สะดวก ทุกที่ทุกเวลา และเมื่อทำแล้ว ส่งผลให้มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ครอบครัวร่มเย็นเป็นสุข ตามหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”
ส่วนการทำความชั่วนั้น ทำก็ยาก ต้องหลบๆซ่อนๆ ต้องคอยแอบคอยหนี เพราะการทำสิ่งไม่ดีนั้น มีแต่ความทุกข์

จริงอยู่ในอบายมุขต่างๆนั้น แรกเริ่มเข้าไปสัมผัส ภาพลวงตาคือความสนุกสนานบันเทิงเริงรมย์ หลงไปกับ “รูป รส กลิ่น เสียง” แต่พอภาพลวงตาทั้งหมดนี้ จางหายไป

เมื่อหายมัวเมา แล้วเริ่มสร่าง ความจริงก็ปรากฏ เพราะนั่นคือ ทุกข์ล้วนๆ เป็นกรรมติดจรวด ที่ตามทันในชาตินี้ ชีวิตตกอับ เศร้าหมอง ญาติพี่น้อง เอือมระอา กลายเป็นตราบาปติดตัวไปจนวันตาย

สุดท้ายนี้อาตมาขอฝากแง่คิดสะกิดใจ สำหรับวาระปีใหม่2557นี้ ขอให้ญาติโยมทุกท่านเริ่มต้นชีวิตใหม่ ด้วยการมีสติ ในการดำเนินชีวิตทุกย่างก้าว ด้วยความไม่ประมาท ควรพยายามสร้างสรรค์แต่สิ่งที่ดีงาม ละเว้นการกระทำความชั่วทั้งปวง ใช้ชีวิตเดินบนเส้นทางแห่งความดี และดูตัวอย่างคนที่ทำความดี ยึดหลักเป็นแบบอย่าง

เฉกเช่นเรื่องของอาจารย์ท่านนี้ ที่ทุ่มเทเสียสละ แสดงออกถึงความรักแท้ ที่ตอบโจทย์ญาติโยมผู้อ่านทุกท่านได้อย่างชัดเจน โดยไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่มอีก

"นี่คือคำตอบที่บ่งบอกถึงรักแท้ ที่ดูแลกันได้ตลอด 30 ปี"

จวบจนลมหายใจสุดท้ายหมดลง เมื่อคนรักหยุดหายใจ และนี่คือนิยามของคำว่า “เราจะรัก และดูแลกันตราบจนวันตาย”

“พระพุทธองค์ท่านตรัสว่า คนเรามีรักร้อย ก็นับว่าทุกข์ร้อย มีรักสิบก็นับว่าทุกข์สิบ มีรักหนึ่งก็นับว่าทุกข์หนึ่ง หากไม่มีรักเลย ก็แปลว่าไม่ต้องมีทุกข์เพราะรักเลยเช่นกัน…”

สรุปคือ “ความรักเป็นแค่รูปแบบหนึ่งของความทุกข์เท่านั้น ต่อให้รักกันยืดยาวจนแก่เฒ่า วันหนึ่งก็ต้องทุกข์ใหญ่หลวง เพราะความพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รักอยู่ดี”  ขอเจริญพร...



พิธีขอขมากรรม ส่งท้ายปีเก่ารับพรปีใหม่

บทความที่ได้รับความนิยม