ร่วมบูชาวัตถุมงคล วัดไผ่ล้อม นครปฐม

วันอังคารที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2557

ทุกคนต้อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย
จงพึงสังวรณ์ !?!
คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม


เจริญพรญาติโยมทุกท่าน สัปดาห์นี้มีเรื่องของศิษย์ใกล้ชิด สนิทกันมากๆ ขออนุญาตนำมาเล่าขานสู่กันฟัง เพื่อเป็นอุทาหรณ์เตือนสติ ให้ตระหนักคิด เผื่อไปตรงกับห้วงชีวิตของใคร จะได้นำไปปรับใช้ ให้เกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม

เหตุเกิดเมื่อครา อาตมายังเป็นเด็กๆ ใช้ชีวิตขายน้ำ ขายผ้าเย็น อยู่ในสนามมวยราชดำเนิน ลุมพินี มีเจ้านายใหญ่คือ เสี่ยดำ เติมศักดิ์ ปิติธนสารสมบัติ เป็นเจ้าของกิจการ และเป็นโปรโมเตอร์มวย ศึกเพชรทองคำ

“อาตมาเคยเป็นลูกน้อง เป็นบริวารของเสี่ยดำ มาตั้งแต่อายุ 8 ขวบ”

สมัยนั้นอาตมาเป็นฆราวาส ต้องกราบไหว้เขา เพราะเขาให้ความสงเคราะห์เรา รักเราเหมือนลูกเหมือนหลานคนหนึ่ง

จากนั้นพออาตมา “มาบวชเป็นพระ” เขาตามมากราบไหว้ เคารพศรัทธา อุปถัมภ์อุปฐากค้ำชูช่วยเหลือมาโดยตลอด

ที่สำคัญ “เสี่ยดำ” มีพี่ชายอีกท่านหนึ่ง มีฐานะร่ำรวย

ต่อมาเกิดเจ็บไข้ได้ป่วย ต้องเข้าโรงพยาบาล ให้แพทย์ผ่าตัดรักษาตัว

ปรากฏพอถึงเวลาเสียค่าใช้จ่าย ค่าห้องสูท วันละ ห้าพันกว่าบาท ค่าพยาบาลวันละ สามพันกว่าบาท ค่าตรวจรักษาวันละสองพันบาท รวมแล้วเบ็ดเสร็จวันละหมื่นกว่าบาท

งานนี้ต้องจ่ายทั้งหมด หกแสนกว่าบาท เสี่ย...บ่นเป็นหมีกินผึ้ง และบังเอิญวันนั้นเป็นวันที่อาตมาไปเยี่ยมพอดี จึงได้รับเสียงบ่นมาเต็มๆ

สุดท้ายเสี่ย...ขอออกจากโรงพยาบาล เพราะอยู่แล้วเครียด โดยเฉพาะเรื่องค่าใช้จ่าย แกเลยขอกลับบ้าน บอกสบายใจกว่า ถ้าขืนอยู่อาการจะทรุดหนักเข้าไปอีก กลับมานอนทรมานที่บ้านดีกว่า เพราะที่บ้านมีคนใช้ ไม่ต้องจ่ายเพิ่มแต่ประการใด

จากนั้นอาตมาได้ตามไปเยี่ยมที่บ้าน ก็เลยสอนไปว่า “เสี่ย...จะบ่นไปทำไม... ทำไมไม่รักร่างกายของเราเอง ทำไมไม่ละวาง ปลงเสียบ้าง อย่าไปคิดว่าเราขาดรายได้ อาตมาถามเจ้าสัวจริงๆเถอะ เงินสำคัญมากกว่าชีวิตหรือ”

เจ้าสัวไม่ตอบได้แต่พยักหน้า “คนเราเกิดมา ต้องปลงให้ได้อย่างสนิทใจ เพราะเงินไม่สามารถซื้อชีวิตคนได้ เก็บเงินไว้มากมาย ตายก็เอาไปไม่ได้ แม้แต่บาทเดียว”
ชีวิตคนเราทุกคนต้องมี การเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย หลายคนคิดผิด คิดว่ามีเงินมากๆ เป็นการดี เพราะเงินคงช่วยซื้อชีวิตได้ในยามคับขัน

มีเงินมากๆ จริงอยู่เป็นเรื่องดี แต่ควรรู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ อย่างเช่น เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ก็เอาเงินมารักษาตัว ทำให้สุขภาพแข็งแรง จะดีกว่ามั้ย

ยกตัวอย่าง เรื่อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย ที่เกี่ยวเนื่องกับอาตมาโดยตรง เมื่อสมัยที่พระเดชพระคุณ หลวงพ่อพูล ยังมีชีวิตอยู่

ห้วงนั้นปี2547 เป็นช่วงที่หลวงพ่อพูล ท่านล้มป่วย ร่างกายชราภาพ ด้วยวัยสูงถึง 93 ปี และต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลสมิติเวช และเมื่อมีการผ่าตัด นอนพักรักษาตัว ยาวนานหลายเดือน

ที่สำคัญวัดไผ่ล้อม ไม่มีสตางค์เก็บไว้มากมาย มีเท่าไหร่ก็ใช้สร้างวัด ช่วยเหลือสังคมจนหมดสิ้น

ตลอดเวลาที่ผ่านมา หลวงพ่อพูล ท่านสอนอาตมาไม่ให้เรี่ยไร ไม่ให้บอกบุญใคร กฐินผ้าป่าห้ามแจกซอง ท่านกำชับไว้เสมอ

พอในยามที่ท่านป่วยไข้ ก็ได้ลูกศิษย์ที่พอจะมีทุนรอนมาช่วยเหลือ ก็อาตมานี่ล่ะที่ไปยืมเงินเสี่ยดำ มาสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลไปก่อน

บางส่วนลูกศิษย์เขาก็ถวายมาบ้าง บางส่วนก็ขอยืม อาตมาใช่วิธีผ่อนชำระเขาไป เงินที่ได้ส่วนใหญ่จากการเก็บเล็กผสมน้อย ให้บูชาวัตถุมงคลบ้าง เจิมบ้าง สวดสะเดาะเคราะห์บ้าง ในแต่ละเดือนพอรวบรวมได้มากๆก็เอาไปใช้หนี้เขา

ช่วงนั้นรักษาหลวงพ่อ ใช้เงินไปทั้งหมด 10 ล้านบาท บัดนี้ใช้หนี้หมดแล้ว

อาตมาถือว่านี่คือการแสดงความกตัญญูกตเวทีอีกทางหนึ่ง ที่ศิษย์ทุกคนควรมีต่อครูบาอาจารย์ เพราะท่านคือปูชนียบุคคลที่ควรเคารพบูชาสูงสุดในชีวิต ต้องดูแลท่านอย่างดี เพื่อให้ท่านอยู่กับเรานานๆ เสียเท่าไหร่ก็ต้องยอม หมดเท่าไหร่หมดกัน เงินหมดหาใหม่ได้ แต่ชีวิตเรียกกลับมาไม่ได้ เพราะทุกคนล้วน “ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น”

ทุกวันนี้ที่วัดไผ่ล้อม ยังเป็นหนี้อยู่ เพราะที่วัดไม่ได้มีคนรวยมาทำบุญครั้งละเป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้าน

ปัจจัยทั้งหมด เกิดจากพลังกองทัพมด ยิ่งภาวะเศรษฐกิจเยี่ยงนี้ เต็มที่ก็ หลักสิบ หลักร้อย มากที่สุดหลักพัน

แต่อาตมาไม่ได้หยุดพัฒนา ยังคงจรรโลงสร้างสรรค์ทุกวิถีทาง ให้เกิดถาวรวัตถุที่มั่นคงแข็งแรง เพื่อประโยชน์ต่ออนาคตคนรุ่นหลัง ได้ใช้ดำเนินกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา และเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้ญาติโยม ได้มีพลังในการสร้างความดี เพื่อความเจริญรุ่งเรืองทั้งทางโลกและทางธรรมสืบไป

ส่วนการสร้างวิหารหลวงพ่อพูลนั้น ต้องใช้ปัจจัยสูงถึง 40 ล้านบาท อาตมาใช้วิธียืมก่อนผ่อนทีหลัง ส่วนใหญ่ก็ขอยืมพี่ชายเสี่ยดำนี่ล่ะ ถึงแม้โยมจะขี้เหนียว แต่โยมมีน้ำใจ ให้ยืมตลอด ไม่คิดดอกเบี้ย ไม่มีอะไรเป็นหลักค้ำประกัน มีแต่คุณงามความดีและความซื่อสัตย์เท่านั้น

เสี่ย...แกก็ใจดี บอกนี่เป็นการทำบุญอีกทางหนึ่งเช่นกัน

ฉะนั้นญาติโยมทุกท่าน จงอย่าเห็นเงินสำคัญกว่าชีวิต ต้องรู้จักปล่อยวาง และปลงๆกันเสียบ้าง สัจจะธรรมของมนุษย์ส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบัน “ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา” ไม่ดูแลสุขภาพ มีความประมาทเป็นที่ตั้ง คนเราฝืนอะไรก็ฝืนได้ แต่ไม่มีใครฝืนธรรมชาติได้ ทุกคนหนีไม่พ้น การเกิด แก่ เจ็บ ตาย จงพึงสังวรณ์

ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่ความตายนั่นล่ะคือความจริง ในโอกาสปีใหม่นี้ ขอให้ญาติโยมทุกท่าน จงมีชีวิตตามพระพุทธภาษิตที่ว่า “อโรคยา ปรมา ลาภา” ความไม่มีโรค เป็นลาภอย่างยิ่ง เป็นความจริงยิ่งกว่าความจริงใด ๆ สุขภาพเป็นปัจจัยพื้นฐานแห่งชีวิตและความสำเร็จ จึงเป็นยอดปรารถนาของมนุษย์ทุกคน

ดังคำอวยพรในแทบทุกโอกาสที่ผู้อวยพรกล่าวให้ผู้ถูกอวยพรให้มีความสุข อายุมั่นขวัญยืน สุขภาพแข็งแรง หรือคำอวยพรจากพระที่ว่า “อายุ วรรณะ สุขะ พละ” ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับการมีสุขภาพดีทั้งสิ้น

ขณะเดียวกัน ยังมีผู้คนอีกจำนวนมาก ที่มิได้ใส่ใจสุขภาพของตนเอง มัวแต่วุ่นวายกับงานอาชีพ และเสพสุขในรสชาติอาหาร รื่นรมย์ในสถานบันเทิง ใช้ชีวิตอย่างประมาทมัวเมา จนเกิดปัญหาการเจ็บป่วย

แท้จริงแล้ว สุขภาพ เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถดูแลกันเองได้ง่าย ๆ เพียงแต่ให้ความสนใจ และลงมือปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เพราะธรรมชาติของร่างกายได้ผ่านกระบวนการวิวัฒนาการมานานนับล้าน ๆ ปี จึงกลายเป็นระบบชีวิต ที่สามารถปรับตัวและดูแลตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ และมหัศจรรย์ยิ่ง หน้าที่ของเรา คือ พยายามพยุงและส่งเสริมให้ระบบของร่างกายทำงานเป็นปกติ และสอดประสานกับธรรมชาติตามวงจรนาฬิกาชีวิต

การเจ็บป่วย มิใช่ว่าเกิดจากการรับเชื้อโรค หรือสิ่งก่อโรคจากภายนอกเพียงด้านเดียวเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของร่างกาย เมื่อพิจารณาถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ จะเห็นได้ว่า พวกเราทุกคนมีส่วนสำคัญในการดูแลสุขภาพ ของตนเองตามหลัก “อัตตา หิ อัตตโน นาโถ” ตนแลเป็นที่พึ่งของตน คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้...ขอเจริญพร



พิธีขอขมากรรม ส่งท้ายปีเก่ารับพรปีใหม่

บทความที่ได้รับความนิยม