ร่วมบูชาวัตถุมงคล วัดไผ่ล้อม นครปฐม

วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2557

จะรอให้พ่อแม่ตายก่อน....
แล้วค่อยทำงานหรือ!?!
คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม

เจริญพรญาติโยมทุกท่าน จุดไฟฉบับนี้ อาตมานำเรื่องศิษย์ใกล้ชิดอีกท่านหนึ่ง ที่เป็นต้นเรื่อง จุดประกายให้เกิดงานเขียนชิ้นนี้!!!

มูลเหตุเมื่อคราเดินทางไปโปรดโยม ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา อาตมาได้พบปะลูกศิษย์ลูกหาหลายท่านตามเมืองต่างๆ ซึ่งก็เป็นปกติทุกปี ที่ต้องไปเยือน ตามกิจนิมนต์ไว้

คนไทยส่วนใหญ่ที่อเมริกา หลายครอบครัวทำธุรกิจเปิดร้านอาหาร ร้านนวดแผนไทย ตามสไตล์ถนัด

ส่วนครอบครัวที่จะเขียนถึงนี้ โยมเปิดร้านอาหาร บริหารงานโดยพ่อแม่และลูกอีก 3 คน เป็นชาย 2 หญิง 1 บ้านนี้เขาได้รับฉายา “หามืดกินบ่าย” ปกติเราเคยได้ยินแต่ “หาเช้ากินค่ำ”

เนื่องเพราะที่ร้านเขาเปิดขายอาหารช่วงกลางคืน และลูกทุกคนก็ทำงานอยู่ที่ร้าน ช่วยพ่อแม่ดูแลกิจการ และเด็กทั้ง 3 คนนี้ เขาเกิดที่อเมริกา เป็นลูกครึ่ง พูดภาษาอังกฤษได้แคล่วคล่อง ที่สำคัญพ่อเป็นผู้นำครอบครัวที่ขยันมาก ส่งลูกเรียนจนจบครบทั้ง 3 คน

ส่วนการเดินทางมาอเมริกาครั้งนี้ อาตมามีโอกาสได้พูดคุยกับครอบครัวนี้มากเป็นพิเศษ เพราะลูกชายคนโตห้วงนั้นเขาบวชพระ เพื่อทดแทนบุญคุณพ่อแม่

พอถึงวันอาตมาเดินทางกลับ พ่อเขาฝากพระลูกชายมาเมืองไทยด้วย

ภาพที่เห็น อาตมารู้สึกได้ ถึงความเคร่งครัดในพระวินัย ไม่ฉันเนื้อสัตว์ อ่อนน้อม สุภาพ มีความสำรวมน่าชื่นชมยิ่ง
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ลาสิกขาบท แต่ยังแวะมาที่วัดเป็นประจำ ทางพ่อเขาก็ฝากฝังไว้กับอาตมา หวังให้ลูกชายทำงานทำการเป็นหลักแหล่งมีอาชีพสมบูรณ์เลี้ยงตัวเองรอด

ความปรารถนาของพ่อแม่ ล้วนต้องการเพียงแค่นี้ และเหตุการณ์ก็กลับตาลปัตร เจ้าลูกชายคนนี้พอสึกแล้ว แทนที่จะทำงาน กลับออกไปเที่ยวเตร่เฮฮา ตามประสาคนหนุ่มที่หลงในแสงสี พอตกเย็นก็ไปกินดื่มตามสถานบันเทิง และมีโอกาสได้พบปะสาวๆในรุ่นราวคราวเดียวกัน

กลายเป็นความหรรษาพาเพลิน มีทั้งเหล้าเบียร์ผู้หญิงครบเครื่องสุดท้ายก็ไปจบที่บนเตียงนอน กว่าจะตื่นก็เที่ยงบ่าย ร่างกายอ่อนเปลี้ยเพลียแรง

เมื่อพ่อทางอเมริกาถามหา ก็ผลัดวันประกันพรุ่ง ทำตัวเป็นพ่อสายบัวลอยไปลอยมาแก่นสารอะไรไม่ได้

สุดท้ายพ่อทนไม่ไหว โทร.บอกอาตมาให้เรียกมาจัดการกำราบเทศน์สั่งสอน... โดยพื้นฐานเด็กคนนี้ไม่ใช่คนเกเรแต่กำเนิด เพียงแค่มาอยู่เมืองไทย ไม่มีใครควบคุมดูแล เขาตัดสินใจเองทุกเรื่อง ไม่มีผู้ปกครองคอยอบรมตักเตือน ก็เลยทำอะไรตามใจตัวเองมากไปหน่อย แต่ก็ยังไม่สายที่จะเปลี่ยนแปลงกลับเนื้อกลับตัว

อาตมาเรียกมาถามไถ่เหตุผลว่าทำไมทำตัวเยี่ยงนี้ เขาได้แต่อมยิ้ม แล้วทำหน้าเหมือนสำนึกผิด

อาตมาจึงย้ำไปว่า เราเป็นลูกคนโต เป็นพี่ของน้องๆ แทนที่จะทำตัวเป็นเสาหลัก แต่กลับทำตัวไม่เป็นชิ้นเป็นอัน วันๆเอาแต่เที่ยวผับบาร์ เมาขาดสติทุกวัน แล้วไม่ยอมคุยกับพ่อ ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดถนัด ถ้าวันหนึ่งขาดพ่อไปแล้ว อะไรจะเกิดขึ้น วันนี้ยังมีเขาอยู่ แทนที่จะทำตัวให้ดี ตอบแทนบุญคุณท่าน กลับไม่สนใจทำ...ถามตัวเองก่อน ถ้าไม่มีพ่อแม่ แล้วเราจะมีวันนี้ได้อย่างไร การที่เราเกลียดพ่อนั้น ท่านทำผิดอะไรผิด ท่านเลี้ยงเรามาจนโต เงินก็หาให้ใช้ ตัวเราหาเงินเองไม่ได้ ยังต้องพึ่งท่านอยู่ตลอดเวลา ยังมีหน้ามาโกรธพ่ออีกหรือ

ที่มีเงินกินเที่ยวทุกวันนี้ ก็เงินพ่อส่งมาให้ สมมุติว่าพ่อแม่ตาย จะหาเงินเองได้มั้ย ทำไมไม่รีบหางานทำ ตั้งแต่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ทดลองฝึกฝนทำมาหากินด้วยตัวเอง ก่อนที่จะสายเกินไป

“จงจำไว้เลยว่า สิ่งที่เรากำลังประพฤติปฏิบัติอยู่นี้ คือการแสดงออกถึงความอกตัญญู”

พ่อแม่ทุกคนรักและห่วงลูก ตรงกันข้ามในฐานะที่เราเป็นลูก ทำไมไม่ห่วงพ่อแม่บ้าง ลูกที่ดีควรมีสามัญสำนึกในการรักและเคารพพ่อแม่ ควรดูแลเอาใจใส่ท่าน แต่ถ้าอยู่ห่างกัน ก็ควรทำตัวให้ดี อย่าทำให้ท่านต้องทุกข์ใจ

เมื่อเรามาอยู่เมืองไทยแล้ว อยากจะทำอะไร ก็ควรรีบลงมือทำ เพราะเรามีโอกาสมากกว่าคนอื่น ตรงที่พ่อก็พอจะมีทุน และปรารถนาให้เปิดกิจการ ทำอะไรก็ได้ที่ชอบและมีใจรัก เพราะพ่อรอสนับสนุนอยู่

สุดท้ายอาตมาตัดสินใจ ให้เด็กคนนี้มาอยู่ที่วัด เริ่มต้นกันใหม่ ว่าอยากจะทำอะไร อาตมาทำหน้าที่ผู้ปกครองแทนพ่อเขา ต้องควบคุมให้อยู่ในสายตา และถ้าเขาอยากจะเปิดร้านอาหาร ก็เลยเรียกแม่ครัวที่วัดมาช่วยฝึกสอนให้ทำอาหารไทย เริ่มเรียนตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป อาตมาคุมเข้มให้อยู่วัด ห้ามไปไหน พอเก่งแล้วก็จะให้พ่อเขามาเปิดร้านอาหารให้ จะได้เป็นผู้ใหญ่เสียที

อุทาหรณ์ของเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า เด็กก็คือเด็ก วัยรุ่นก็คือวัยรุ่น ถ้าเรามามองกลับอดีตของเราเอง ก็เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน บังเอิญโชคดี ก็เลยรอดปากเหยี่ยวปากกามาได้

อาตมาฝึกลูกของลูกศิษย์มาแล้วหลายรุ่น ใช้มาหลายวิธี เราต้องเข้าใจธรรมชาติของวัยรุ่น เขาจะมีประสบการณ์จากภายนอกเข้ามาปรุงแต่ง การสอนต้องละเอียดมากกว่าเดิม ต้องใช้ธรรมะมาประยุกต์เสมอ

มีพุทธพจน์ข้อหนึ่ง กล่าวว่า "มานะอาจอาศัยมานะละมานะได้ แต่กิเลศกามไม่อาศัยกิเลศกามละได้" มานะแปลว่าถือตัว(อีโก้) ลองเอาตัวนี้มาใช้ดู บอกเขาว่าอยากจะทำอะไรก็ทำ ถูกหรือผิด แต่ให้พึงสังวร
ถ้าหากเป็นไปได้ ให้เขาไปอยู่ในสังคมที่เป็นระเบียบ เช่นให้มาอยู่วัดเหมือนอย่างที่อาตมาทำอยู่ โดยเฉพาะในวัดที่มีระเบียบ มีวินัย เข้มงวด หมั่นเทศน์สอนฝึกอบรม และให้เขาเรียนงานที่เขาอยากเรียน อยากทำในวิชาชีพ
กล่าวคือ พยายามสร้างและเปลี่ยนทัศนะคติของเขาเสียใหม่

จากคนที่เอาแต่ใจตัวเอง ก็พยายามให้นึกถึงคนอื่น รู้จักเสียสละ ยิ่งไปอยู่ในสังคมที่เป็นระเบียบ วินัย เขาจะค่อยซึมซับเอง โดยไม่รู้สึกตัวว่าถูกบังคับ

เด็กหลายคนที่อาตมาจับมาอยู่วัด พยายามให้เขาเป็นอยู่แบบธรรมชาติ(ธรรมะ)

ส่วนการกระทำใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ มันละเอียดอ่อน อีกทั้งสลับซับซ้อน แต่ก็ยากเกินกว่าที่อาตมาจะช่วยแก้ไขได้

การอบรมสั่งสอนวัยรุ่น เป็นเรื่องเฉพาะตน และเฉพาะพ่อแม่ผู้ปกครองคนใกล้ชิดผู้เกี่ยวข้องเท่านั้น ที่จะช่วยกันแก้ไขได้

และที่อาตมาแนะได้ในตอนนี้ ถ้าหากทำได้ ก็เริ่มต้นชักชวนให้มาอยู่วัด เข้าร่วมกิจกรรมอันเป็นกุศล แต่ต้องมีกุศโลบาย การอยู่ในวัดสามารถดูแลได้อย่างใกล้ชิด แต่ที่สำคัญเขาต้องเต็มใจ ค่อยเป็นค่อยไป แค่นี้ก็จะได้ลูกที่ดีกลับคืนมา เป็นการอนุโมทนาบุญร่วมกัน...

สรุปคือ ปกติคนเรา มักสอนตนเองได้ในระดับหนึ่ง เมื่อมีวุฒิภาวะ ลองเอาความรักความเข้าอกเข้าใจ ความเป็นมิตร ความเป็นเพื่อนเข้าไปแทรก รับรองได้ผลในทางที่ดีอย่างแน่นอน...ขอเจริญพร

พิธีขอขมากรรม ส่งท้ายปีเก่ารับพรปีใหม่

บทความที่ได้รับความนิยม