ร่วมบูชาวัตถุมงคล วัดไผ่ล้อม นครปฐม

วันจันทร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2557

เข้าพิธีขอขมากรรมแล้วได้อะไร?


 ผลลัพธ์ จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา ตามที่พระเดชพระคุณ พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน ทายาทพุท
ธาคม หลวงพ่อพูล อัตตะรักโข อมตะเถราจารย์ ได้จัดให้มีพิธีขอขมากรรม ถอนคำสาบาน ถอนคำสาปแช่ง หลายครั้งหลายครา ในแต่ละครั้งมีญาติโยมพุทธศาสนิกชนจำนวนมากมายเข้าร่วมพิธี จากการสอบถาม และคำบอกเล่า จากผู้ร่วมพิธีหลายท่าน ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ในชีวิตหลังครั้งร่วมพิธีแล้ว มีเหตุการณ์เกิดขึ้นประมวลสรุปได้ดังต่อไปนี้



1.พอกลับไปถึงบ้านแล้ว มีอาการสบายอกสบายใจ เหมือนยกภูเขาออกจากอก ปลดล็อกทุกสิ่งที่เป็นความทุกข์ ออกจาก กาย วาจา ใจ ได้ทั้งหมด รู้สึกเบาตัว มีความสุข มีขวัญกำลังใจ อย่างเต็มไปเปี่ยม

2.พอตกกลางคืน ก็นอนหลับฝันดี ฝันเห็นเจ้ากรรมนายเวร มาบอกว่าให้อภัย กับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้เข้าร่วมพิธี ได้เคยกระทำผิดพลาดไปแล้วทั้งหมด แล้วท่านก็ขอให้เป็นคนดี อย่าทำผิดอีก พร้อมทั้งเจ้ากรรมนายเวร ยังบอกให้เร่งทำความเพียร ประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่ดีงามสืบต่อไป แล้วจะโชคดีอย่างแน่นอน

3.หลังจากเข้าร่วมพิธีขอขมากรรมแล้ว ญาติโยมหลายท่าน ดำเนินชีวิตหลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้รับแต่ความโชคดี จากหน้าที่การงาน รวมถึงโชคลาภ ที่ตามมาอย่างคาดไม่ถึง หลายเรื่องหลายราวที่สร้างสรรค์จรรโลงใจ เข้ามาในชีวิตอย่างคาดไม่ถึงเช่นกัน



4.บางรายบอกว่า มีผู้ใหญ่ให้การอนุเคราะห์ อุปถัมภ์ค้ำชู ดูแลเมตตาเอาใจใส่ อย่างเห็นได้ชัด จากที่ก่อนหน้านั้น ไม่เคยให้ความสนใจเลย แต่พอไปเข้าร่วมพิธีแล้ว ผู้ใหญ่เมตตาให้ความรักเอ็นดู ให้ตำแหน่ง มอบหมายงานสำคัญๆ อีกทั้งได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้นอีกด้วย

5.และมีอีกสิ่งหนึ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือ ญาติมิตรเพื่อฝูง ที่เคยโกธรเคือง หันกลับมาเป็นมิตร รักใคร่กลมเกลียวเหมือนเดิม สร้างความสามัคคีกลมเกลียวในหมู่คณะ และกระทำการงานสิ่งใด ก็ราบรื่น ไม่ติดขัดเหมือนเก่า ญาติพี่น้องอยู่กันอย่างมีความสุข ไม่ทะเลาะเบาะแว้งเหมือนเก่า สร้างบรรยากาศที่ดีในหมู่คณะอย่างเป็นรูปธรรม สัมฤทธิ์ผลทันตาเห็น

6.รวมถึงการดำเนินชีวิตภายในครอบครัว ก็มีแต่ความสุข ครอบครัว พ่อ แม่ ลูก ต่างมีความอบอุ่น ทั้ง กาย วาจา ใจ รักใคร่กลมเกลียวกันดีกว่าแต่ก่อน และที่สำคัญโรคภัยไข้เจ็บ ก็ไม่มี ภายในบ้าน ร่มเย็น เห็นได้อย่างชัดเจน



สรุปก็คือ ที่ผ่านมา ญาติโยมจำนวนมาก ทั้งหมด ที่เข้าร่วมพิธีขอขมากรรม ถอนคำสาบาน ถอนคำสาปแช่ง ที่พระเดชพระคุณพระครูปลัดสิทธิ์วัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน ได้จัดขึ้นนั้น ส่งผลให้ญาติโยมพุทธศาสนิกชนทุกท่าน มีแต่ความสุขความเจริญ ล้างสนิมที่มีอยู่ในใจ ล้างขัดออกได้จนสะอาดหมดสิ้น สร้างสรรค์ชีวิตใหม่ที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง สามรถสร้างขวัญกำลังใจในการดำเนินชีวิตสืบต่อไปได้อย่างบริบูรณ์พูลผลอย่างแท้จริง!!!





วันอังคารที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2557

ทุกคนต้อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย
จงพึงสังวรณ์ !?!
คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม


เจริญพรญาติโยมทุกท่าน สัปดาห์นี้มีเรื่องของศิษย์ใกล้ชิด สนิทกันมากๆ ขออนุญาตนำมาเล่าขานสู่กันฟัง เพื่อเป็นอุทาหรณ์เตือนสติ ให้ตระหนักคิด เผื่อไปตรงกับห้วงชีวิตของใคร จะได้นำไปปรับใช้ ให้เกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม

เหตุเกิดเมื่อครา อาตมายังเป็นเด็กๆ ใช้ชีวิตขายน้ำ ขายผ้าเย็น อยู่ในสนามมวยราชดำเนิน ลุมพินี มีเจ้านายใหญ่คือ เสี่ยดำ เติมศักดิ์ ปิติธนสารสมบัติ เป็นเจ้าของกิจการ และเป็นโปรโมเตอร์มวย ศึกเพชรทองคำ

“อาตมาเคยเป็นลูกน้อง เป็นบริวารของเสี่ยดำ มาตั้งแต่อายุ 8 ขวบ”

สมัยนั้นอาตมาเป็นฆราวาส ต้องกราบไหว้เขา เพราะเขาให้ความสงเคราะห์เรา รักเราเหมือนลูกเหมือนหลานคนหนึ่ง

จากนั้นพออาตมา “มาบวชเป็นพระ” เขาตามมากราบไหว้ เคารพศรัทธา อุปถัมภ์อุปฐากค้ำชูช่วยเหลือมาโดยตลอด

ที่สำคัญ “เสี่ยดำ” มีพี่ชายอีกท่านหนึ่ง มีฐานะร่ำรวย

ต่อมาเกิดเจ็บไข้ได้ป่วย ต้องเข้าโรงพยาบาล ให้แพทย์ผ่าตัดรักษาตัว

ปรากฏพอถึงเวลาเสียค่าใช้จ่าย ค่าห้องสูท วันละ ห้าพันกว่าบาท ค่าพยาบาลวันละ สามพันกว่าบาท ค่าตรวจรักษาวันละสองพันบาท รวมแล้วเบ็ดเสร็จวันละหมื่นกว่าบาท

งานนี้ต้องจ่ายทั้งหมด หกแสนกว่าบาท เสี่ย...บ่นเป็นหมีกินผึ้ง และบังเอิญวันนั้นเป็นวันที่อาตมาไปเยี่ยมพอดี จึงได้รับเสียงบ่นมาเต็มๆ

สุดท้ายเสี่ย...ขอออกจากโรงพยาบาล เพราะอยู่แล้วเครียด โดยเฉพาะเรื่องค่าใช้จ่าย แกเลยขอกลับบ้าน บอกสบายใจกว่า ถ้าขืนอยู่อาการจะทรุดหนักเข้าไปอีก กลับมานอนทรมานที่บ้านดีกว่า เพราะที่บ้านมีคนใช้ ไม่ต้องจ่ายเพิ่มแต่ประการใด

จากนั้นอาตมาได้ตามไปเยี่ยมที่บ้าน ก็เลยสอนไปว่า “เสี่ย...จะบ่นไปทำไม... ทำไมไม่รักร่างกายของเราเอง ทำไมไม่ละวาง ปลงเสียบ้าง อย่าไปคิดว่าเราขาดรายได้ อาตมาถามเจ้าสัวจริงๆเถอะ เงินสำคัญมากกว่าชีวิตหรือ”

เจ้าสัวไม่ตอบได้แต่พยักหน้า “คนเราเกิดมา ต้องปลงให้ได้อย่างสนิทใจ เพราะเงินไม่สามารถซื้อชีวิตคนได้ เก็บเงินไว้มากมาย ตายก็เอาไปไม่ได้ แม้แต่บาทเดียว”
ชีวิตคนเราทุกคนต้องมี การเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย หลายคนคิดผิด คิดว่ามีเงินมากๆ เป็นการดี เพราะเงินคงช่วยซื้อชีวิตได้ในยามคับขัน

มีเงินมากๆ จริงอยู่เป็นเรื่องดี แต่ควรรู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ อย่างเช่น เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ก็เอาเงินมารักษาตัว ทำให้สุขภาพแข็งแรง จะดีกว่ามั้ย

ยกตัวอย่าง เรื่อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย ที่เกี่ยวเนื่องกับอาตมาโดยตรง เมื่อสมัยที่พระเดชพระคุณ หลวงพ่อพูล ยังมีชีวิตอยู่

ห้วงนั้นปี2547 เป็นช่วงที่หลวงพ่อพูล ท่านล้มป่วย ร่างกายชราภาพ ด้วยวัยสูงถึง 93 ปี และต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลสมิติเวช และเมื่อมีการผ่าตัด นอนพักรักษาตัว ยาวนานหลายเดือน

ที่สำคัญวัดไผ่ล้อม ไม่มีสตางค์เก็บไว้มากมาย มีเท่าไหร่ก็ใช้สร้างวัด ช่วยเหลือสังคมจนหมดสิ้น

ตลอดเวลาที่ผ่านมา หลวงพ่อพูล ท่านสอนอาตมาไม่ให้เรี่ยไร ไม่ให้บอกบุญใคร กฐินผ้าป่าห้ามแจกซอง ท่านกำชับไว้เสมอ

พอในยามที่ท่านป่วยไข้ ก็ได้ลูกศิษย์ที่พอจะมีทุนรอนมาช่วยเหลือ ก็อาตมานี่ล่ะที่ไปยืมเงินเสี่ยดำ มาสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลไปก่อน

บางส่วนลูกศิษย์เขาก็ถวายมาบ้าง บางส่วนก็ขอยืม อาตมาใช่วิธีผ่อนชำระเขาไป เงินที่ได้ส่วนใหญ่จากการเก็บเล็กผสมน้อย ให้บูชาวัตถุมงคลบ้าง เจิมบ้าง สวดสะเดาะเคราะห์บ้าง ในแต่ละเดือนพอรวบรวมได้มากๆก็เอาไปใช้หนี้เขา

ช่วงนั้นรักษาหลวงพ่อ ใช้เงินไปทั้งหมด 10 ล้านบาท บัดนี้ใช้หนี้หมดแล้ว

อาตมาถือว่านี่คือการแสดงความกตัญญูกตเวทีอีกทางหนึ่ง ที่ศิษย์ทุกคนควรมีต่อครูบาอาจารย์ เพราะท่านคือปูชนียบุคคลที่ควรเคารพบูชาสูงสุดในชีวิต ต้องดูแลท่านอย่างดี เพื่อให้ท่านอยู่กับเรานานๆ เสียเท่าไหร่ก็ต้องยอม หมดเท่าไหร่หมดกัน เงินหมดหาใหม่ได้ แต่ชีวิตเรียกกลับมาไม่ได้ เพราะทุกคนล้วน “ไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น”

ทุกวันนี้ที่วัดไผ่ล้อม ยังเป็นหนี้อยู่ เพราะที่วัดไม่ได้มีคนรวยมาทำบุญครั้งละเป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้าน

ปัจจัยทั้งหมด เกิดจากพลังกองทัพมด ยิ่งภาวะเศรษฐกิจเยี่ยงนี้ เต็มที่ก็ หลักสิบ หลักร้อย มากที่สุดหลักพัน

แต่อาตมาไม่ได้หยุดพัฒนา ยังคงจรรโลงสร้างสรรค์ทุกวิถีทาง ให้เกิดถาวรวัตถุที่มั่นคงแข็งแรง เพื่อประโยชน์ต่ออนาคตคนรุ่นหลัง ได้ใช้ดำเนินกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา และเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้ญาติโยม ได้มีพลังในการสร้างความดี เพื่อความเจริญรุ่งเรืองทั้งทางโลกและทางธรรมสืบไป

ส่วนการสร้างวิหารหลวงพ่อพูลนั้น ต้องใช้ปัจจัยสูงถึง 40 ล้านบาท อาตมาใช้วิธียืมก่อนผ่อนทีหลัง ส่วนใหญ่ก็ขอยืมพี่ชายเสี่ยดำนี่ล่ะ ถึงแม้โยมจะขี้เหนียว แต่โยมมีน้ำใจ ให้ยืมตลอด ไม่คิดดอกเบี้ย ไม่มีอะไรเป็นหลักค้ำประกัน มีแต่คุณงามความดีและความซื่อสัตย์เท่านั้น

เสี่ย...แกก็ใจดี บอกนี่เป็นการทำบุญอีกทางหนึ่งเช่นกัน

ฉะนั้นญาติโยมทุกท่าน จงอย่าเห็นเงินสำคัญกว่าชีวิต ต้องรู้จักปล่อยวาง และปลงๆกันเสียบ้าง สัจจะธรรมของมนุษย์ส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบัน “ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา” ไม่ดูแลสุขภาพ มีความประมาทเป็นที่ตั้ง คนเราฝืนอะไรก็ฝืนได้ แต่ไม่มีใครฝืนธรรมชาติได้ ทุกคนหนีไม่พ้น การเกิด แก่ เจ็บ ตาย จงพึงสังวรณ์

ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่ความตายนั่นล่ะคือความจริง ในโอกาสปีใหม่นี้ ขอให้ญาติโยมทุกท่าน จงมีชีวิตตามพระพุทธภาษิตที่ว่า “อโรคยา ปรมา ลาภา” ความไม่มีโรค เป็นลาภอย่างยิ่ง เป็นความจริงยิ่งกว่าความจริงใด ๆ สุขภาพเป็นปัจจัยพื้นฐานแห่งชีวิตและความสำเร็จ จึงเป็นยอดปรารถนาของมนุษย์ทุกคน

ดังคำอวยพรในแทบทุกโอกาสที่ผู้อวยพรกล่าวให้ผู้ถูกอวยพรให้มีความสุข อายุมั่นขวัญยืน สุขภาพแข็งแรง หรือคำอวยพรจากพระที่ว่า “อายุ วรรณะ สุขะ พละ” ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับการมีสุขภาพดีทั้งสิ้น

ขณะเดียวกัน ยังมีผู้คนอีกจำนวนมาก ที่มิได้ใส่ใจสุขภาพของตนเอง มัวแต่วุ่นวายกับงานอาชีพ และเสพสุขในรสชาติอาหาร รื่นรมย์ในสถานบันเทิง ใช้ชีวิตอย่างประมาทมัวเมา จนเกิดปัญหาการเจ็บป่วย

แท้จริงแล้ว สุขภาพ เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถดูแลกันเองได้ง่าย ๆ เพียงแต่ให้ความสนใจ และลงมือปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เพราะธรรมชาติของร่างกายได้ผ่านกระบวนการวิวัฒนาการมานานนับล้าน ๆ ปี จึงกลายเป็นระบบชีวิต ที่สามารถปรับตัวและดูแลตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ และมหัศจรรย์ยิ่ง หน้าที่ของเรา คือ พยายามพยุงและส่งเสริมให้ระบบของร่างกายทำงานเป็นปกติ และสอดประสานกับธรรมชาติตามวงจรนาฬิกาชีวิต

การเจ็บป่วย มิใช่ว่าเกิดจากการรับเชื้อโรค หรือสิ่งก่อโรคจากภายนอกเพียงด้านเดียวเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของร่างกาย เมื่อพิจารณาถึงปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ จะเห็นได้ว่า พวกเราทุกคนมีส่วนสำคัญในการดูแลสุขภาพ ของตนเองตามหลัก “อัตตา หิ อัตตโน นาโถ” ตนแลเป็นที่พึ่งของตน คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้...ขอเจริญพร



วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2557

จะรอให้พ่อแม่ตายก่อน....
แล้วค่อยทำงานหรือ!?!
คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม

เจริญพรญาติโยมทุกท่าน จุดไฟฉบับนี้ อาตมานำเรื่องศิษย์ใกล้ชิดอีกท่านหนึ่ง ที่เป็นต้นเรื่อง จุดประกายให้เกิดงานเขียนชิ้นนี้!!!

มูลเหตุเมื่อคราเดินทางไปโปรดโยม ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา อาตมาได้พบปะลูกศิษย์ลูกหาหลายท่านตามเมืองต่างๆ ซึ่งก็เป็นปกติทุกปี ที่ต้องไปเยือน ตามกิจนิมนต์ไว้

คนไทยส่วนใหญ่ที่อเมริกา หลายครอบครัวทำธุรกิจเปิดร้านอาหาร ร้านนวดแผนไทย ตามสไตล์ถนัด

ส่วนครอบครัวที่จะเขียนถึงนี้ โยมเปิดร้านอาหาร บริหารงานโดยพ่อแม่และลูกอีก 3 คน เป็นชาย 2 หญิง 1 บ้านนี้เขาได้รับฉายา “หามืดกินบ่าย” ปกติเราเคยได้ยินแต่ “หาเช้ากินค่ำ”

เนื่องเพราะที่ร้านเขาเปิดขายอาหารช่วงกลางคืน และลูกทุกคนก็ทำงานอยู่ที่ร้าน ช่วยพ่อแม่ดูแลกิจการ และเด็กทั้ง 3 คนนี้ เขาเกิดที่อเมริกา เป็นลูกครึ่ง พูดภาษาอังกฤษได้แคล่วคล่อง ที่สำคัญพ่อเป็นผู้นำครอบครัวที่ขยันมาก ส่งลูกเรียนจนจบครบทั้ง 3 คน

ส่วนการเดินทางมาอเมริกาครั้งนี้ อาตมามีโอกาสได้พูดคุยกับครอบครัวนี้มากเป็นพิเศษ เพราะลูกชายคนโตห้วงนั้นเขาบวชพระ เพื่อทดแทนบุญคุณพ่อแม่

พอถึงวันอาตมาเดินทางกลับ พ่อเขาฝากพระลูกชายมาเมืองไทยด้วย

ภาพที่เห็น อาตมารู้สึกได้ ถึงความเคร่งครัดในพระวินัย ไม่ฉันเนื้อสัตว์ อ่อนน้อม สุภาพ มีความสำรวมน่าชื่นชมยิ่ง
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ลาสิกขาบท แต่ยังแวะมาที่วัดเป็นประจำ ทางพ่อเขาก็ฝากฝังไว้กับอาตมา หวังให้ลูกชายทำงานทำการเป็นหลักแหล่งมีอาชีพสมบูรณ์เลี้ยงตัวเองรอด

ความปรารถนาของพ่อแม่ ล้วนต้องการเพียงแค่นี้ และเหตุการณ์ก็กลับตาลปัตร เจ้าลูกชายคนนี้พอสึกแล้ว แทนที่จะทำงาน กลับออกไปเที่ยวเตร่เฮฮา ตามประสาคนหนุ่มที่หลงในแสงสี พอตกเย็นก็ไปกินดื่มตามสถานบันเทิง และมีโอกาสได้พบปะสาวๆในรุ่นราวคราวเดียวกัน

กลายเป็นความหรรษาพาเพลิน มีทั้งเหล้าเบียร์ผู้หญิงครบเครื่องสุดท้ายก็ไปจบที่บนเตียงนอน กว่าจะตื่นก็เที่ยงบ่าย ร่างกายอ่อนเปลี้ยเพลียแรง

เมื่อพ่อทางอเมริกาถามหา ก็ผลัดวันประกันพรุ่ง ทำตัวเป็นพ่อสายบัวลอยไปลอยมาแก่นสารอะไรไม่ได้

สุดท้ายพ่อทนไม่ไหว โทร.บอกอาตมาให้เรียกมาจัดการกำราบเทศน์สั่งสอน... โดยพื้นฐานเด็กคนนี้ไม่ใช่คนเกเรแต่กำเนิด เพียงแค่มาอยู่เมืองไทย ไม่มีใครควบคุมดูแล เขาตัดสินใจเองทุกเรื่อง ไม่มีผู้ปกครองคอยอบรมตักเตือน ก็เลยทำอะไรตามใจตัวเองมากไปหน่อย แต่ก็ยังไม่สายที่จะเปลี่ยนแปลงกลับเนื้อกลับตัว

อาตมาเรียกมาถามไถ่เหตุผลว่าทำไมทำตัวเยี่ยงนี้ เขาได้แต่อมยิ้ม แล้วทำหน้าเหมือนสำนึกผิด

อาตมาจึงย้ำไปว่า เราเป็นลูกคนโต เป็นพี่ของน้องๆ แทนที่จะทำตัวเป็นเสาหลัก แต่กลับทำตัวไม่เป็นชิ้นเป็นอัน วันๆเอาแต่เที่ยวผับบาร์ เมาขาดสติทุกวัน แล้วไม่ยอมคุยกับพ่อ ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดถนัด ถ้าวันหนึ่งขาดพ่อไปแล้ว อะไรจะเกิดขึ้น วันนี้ยังมีเขาอยู่ แทนที่จะทำตัวให้ดี ตอบแทนบุญคุณท่าน กลับไม่สนใจทำ...ถามตัวเองก่อน ถ้าไม่มีพ่อแม่ แล้วเราจะมีวันนี้ได้อย่างไร การที่เราเกลียดพ่อนั้น ท่านทำผิดอะไรผิด ท่านเลี้ยงเรามาจนโต เงินก็หาให้ใช้ ตัวเราหาเงินเองไม่ได้ ยังต้องพึ่งท่านอยู่ตลอดเวลา ยังมีหน้ามาโกรธพ่ออีกหรือ

ที่มีเงินกินเที่ยวทุกวันนี้ ก็เงินพ่อส่งมาให้ สมมุติว่าพ่อแม่ตาย จะหาเงินเองได้มั้ย ทำไมไม่รีบหางานทำ ตั้งแต่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ทดลองฝึกฝนทำมาหากินด้วยตัวเอง ก่อนที่จะสายเกินไป

“จงจำไว้เลยว่า สิ่งที่เรากำลังประพฤติปฏิบัติอยู่นี้ คือการแสดงออกถึงความอกตัญญู”

พ่อแม่ทุกคนรักและห่วงลูก ตรงกันข้ามในฐานะที่เราเป็นลูก ทำไมไม่ห่วงพ่อแม่บ้าง ลูกที่ดีควรมีสามัญสำนึกในการรักและเคารพพ่อแม่ ควรดูแลเอาใจใส่ท่าน แต่ถ้าอยู่ห่างกัน ก็ควรทำตัวให้ดี อย่าทำให้ท่านต้องทุกข์ใจ

เมื่อเรามาอยู่เมืองไทยแล้ว อยากจะทำอะไร ก็ควรรีบลงมือทำ เพราะเรามีโอกาสมากกว่าคนอื่น ตรงที่พ่อก็พอจะมีทุน และปรารถนาให้เปิดกิจการ ทำอะไรก็ได้ที่ชอบและมีใจรัก เพราะพ่อรอสนับสนุนอยู่

สุดท้ายอาตมาตัดสินใจ ให้เด็กคนนี้มาอยู่ที่วัด เริ่มต้นกันใหม่ ว่าอยากจะทำอะไร อาตมาทำหน้าที่ผู้ปกครองแทนพ่อเขา ต้องควบคุมให้อยู่ในสายตา และถ้าเขาอยากจะเปิดร้านอาหาร ก็เลยเรียกแม่ครัวที่วัดมาช่วยฝึกสอนให้ทำอาหารไทย เริ่มเรียนตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป อาตมาคุมเข้มให้อยู่วัด ห้ามไปไหน พอเก่งแล้วก็จะให้พ่อเขามาเปิดร้านอาหารให้ จะได้เป็นผู้ใหญ่เสียที

อุทาหรณ์ของเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า เด็กก็คือเด็ก วัยรุ่นก็คือวัยรุ่น ถ้าเรามามองกลับอดีตของเราเอง ก็เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน บังเอิญโชคดี ก็เลยรอดปากเหยี่ยวปากกามาได้

อาตมาฝึกลูกของลูกศิษย์มาแล้วหลายรุ่น ใช้มาหลายวิธี เราต้องเข้าใจธรรมชาติของวัยรุ่น เขาจะมีประสบการณ์จากภายนอกเข้ามาปรุงแต่ง การสอนต้องละเอียดมากกว่าเดิม ต้องใช้ธรรมะมาประยุกต์เสมอ

มีพุทธพจน์ข้อหนึ่ง กล่าวว่า "มานะอาจอาศัยมานะละมานะได้ แต่กิเลศกามไม่อาศัยกิเลศกามละได้" มานะแปลว่าถือตัว(อีโก้) ลองเอาตัวนี้มาใช้ดู บอกเขาว่าอยากจะทำอะไรก็ทำ ถูกหรือผิด แต่ให้พึงสังวร
ถ้าหากเป็นไปได้ ให้เขาไปอยู่ในสังคมที่เป็นระเบียบ เช่นให้มาอยู่วัดเหมือนอย่างที่อาตมาทำอยู่ โดยเฉพาะในวัดที่มีระเบียบ มีวินัย เข้มงวด หมั่นเทศน์สอนฝึกอบรม และให้เขาเรียนงานที่เขาอยากเรียน อยากทำในวิชาชีพ
กล่าวคือ พยายามสร้างและเปลี่ยนทัศนะคติของเขาเสียใหม่

จากคนที่เอาแต่ใจตัวเอง ก็พยายามให้นึกถึงคนอื่น รู้จักเสียสละ ยิ่งไปอยู่ในสังคมที่เป็นระเบียบ วินัย เขาจะค่อยซึมซับเอง โดยไม่รู้สึกตัวว่าถูกบังคับ

เด็กหลายคนที่อาตมาจับมาอยู่วัด พยายามให้เขาเป็นอยู่แบบธรรมชาติ(ธรรมะ)

ส่วนการกระทำใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ มันละเอียดอ่อน อีกทั้งสลับซับซ้อน แต่ก็ยากเกินกว่าที่อาตมาจะช่วยแก้ไขได้

การอบรมสั่งสอนวัยรุ่น เป็นเรื่องเฉพาะตน และเฉพาะพ่อแม่ผู้ปกครองคนใกล้ชิดผู้เกี่ยวข้องเท่านั้น ที่จะช่วยกันแก้ไขได้

และที่อาตมาแนะได้ในตอนนี้ ถ้าหากทำได้ ก็เริ่มต้นชักชวนให้มาอยู่วัด เข้าร่วมกิจกรรมอันเป็นกุศล แต่ต้องมีกุศโลบาย การอยู่ในวัดสามารถดูแลได้อย่างใกล้ชิด แต่ที่สำคัญเขาต้องเต็มใจ ค่อยเป็นค่อยไป แค่นี้ก็จะได้ลูกที่ดีกลับคืนมา เป็นการอนุโมทนาบุญร่วมกัน...

สรุปคือ ปกติคนเรา มักสอนตนเองได้ในระดับหนึ่ง เมื่อมีวุฒิภาวะ ลองเอาความรักความเข้าอกเข้าใจ ความเป็นมิตร ความเป็นเพื่อนเข้าไปแทรก รับรองได้ผลในทางที่ดีอย่างแน่นอน...ขอเจริญพร

วันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2557


ณ วัดทุ่งพระเมรุ นครปฐม โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม

พระครูปลัดสิทธิวัฒน์(หลวงพี่น้ำฝน) และคณะสงฆ์ วัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม ขออำนวยอวยพรสาธุชนศิษยานุศิษย์ทั้งหลายให้มีแต่ความสุขความเจริญ ให้ร่ำรวยมีชื่อเสียงเงินทองไหลมาเทมา ให้เจริญในหน้าที่การงานพร้อมลาภยศสรรเสริญ มีความเจริญในธรรม ให้โชคดี โชคดี และโชคดี ตลอดปี 2557 ปีใหม่นี้ด้วยเทอญ







































พิธีขอขมากรรม ส่งท้ายปีเก่ารับพรปีใหม่

บทความที่ได้รับความนิยม