ร่วมบูชาวัตถุมงคล วัดไผ่ล้อม นครปฐม

วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

อาจารย์ตาบอด ‘สู้ชีวิต ปลง ไม่ท้อแท้’ เรียนปริญญาเอก 
หลวงพี่จุดไฟ ‘คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้’
คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม

เจริญพรญาติโยมพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สัปดาห์นี้อาตมาขอนำพาไปสัมผัสกับวิถีการต่อสู้ชีวิต เพื่อมุ่งมั่นทำความดี โดยไม่ท้อแท้ และเปี่ยมด้วยหัวใจที่เด็ดเดี่ยว สามารถจัดการกับอุปสรรคปัญหา“น่าชื่นชมยิ่ง”

อาตมานำเรื่องของ “อาจารย์ตาบอด” ท่านหนึ่ง ล่าสุดโยมได้เดินทางมากับแม่และญาติๆ มีเป้าหมายมุ่งตรงมา “วัดไผ่ล้อม”

ปรารถนามากราบสักการะสังขาร “หลวงพ่อพูล” ผนวกกับอยากเจออาตมา ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดี ที่โยมใฝ่ใจในคำสอนของ “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”

โยมผู้เป็นแม่ บอก “ดีใจมาก ที่ได้เจอหลวงพี่น้ำฝน” และได้เล่าเรื่องราวชีวิตให้ฟัง.... “โยมเป็นคนจังหวัดขอนแก่นโดยกำเนิด สามีเป็นคนจังหวัดมหาสารคราม รับราชการทั้งคู่ สามีเสียชีวิตเมื่อปีพ.ศ.2546 ปัจจุบันเกษียณแล้ว”

โยมมีลูกชายเพียงคนเดียว ช่วงอายุ 5 ปี ป่วยเป็นโรคลมชัก ส่งผลให้ประสาทตามีปัญหา จากนั้นก็มองไม่ชัดเจน เห็นเป็นภาพเลือนๆ ระหว่างนั้น เรียนอยู่ชั้นอนุบาล อาจารย์ใหญ่ท่านเมตตา ประสานไปยังโรงเรียนสอนคนตาบอด ช่วยอนุเคราะห์ไปเรียนต่อจนจบชั้นม. 6 และมีโอกาสได้ไปสอบที่โรงเรียนขอนแก่นวิทยาคม ในสายศิลป์ ด้วยบุญวาสนาพาไป ลูกชายตาบอดคนนี้ ได้ไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ ด้วยทุนรอนของพ่อแม่ที่สะสมไว้....

“ถึงแม้ลูกชายจะตาเสีย อยู่ในโลกมืด แต่เรื่องการเรียนไม่เคยเสีย เป็นเด็กดีที่เรียนเก่ง ใฝ่รู้คู่คุณธรรมมาโดยตลอด”
จากนั้นได้เดินทางกลับมาเมืองไทย เข้าเรียนในระดับปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร และเป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ที่วิทยาลัยราชสุดา มหาวิทยาลัยมหิดล

เส้นทางชีวิต ขณะเรียน ก็ลำบาก เพราะตาบอด ร่วมถึงขณะที่เป็น ครูบาอาจารย์ ก็มีอุปสรรคปัญหาเช่นกัน!!!

การที่เกิดมาเป็นคนมองโลกไม่เห็น มันเป็นความทรมานทุกขณะของการก้าวย่างในชีวิต การเดินทางไม่สะดวก พูดคุยกับใคร ก็สื่อสารได้ไม่สมบูรณ์แบบ

“ปัจจุบันโยมศึกษาระดับปริญญาเอก ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร มีบ้านพักอยู่ย่านทวีวัฒนา”

เคยมุ่งหวังที่จะมีคู่ครอง แต่ก็ไม่สมปรารถนา วันหนึ่งเธอก็จากลาไปไม่หวนกลับ... โยมต้องกลายเป็นคนตาบอด ที่ต้องอยู่คนเดียว มีแม่ และญาติ มาอยู่ด้วยบ้างในบางโอกาสเท่านั้น

โยมอยู่ในวัย 52 ปี เรียนรู้ และสู้อยู่กับความจริง “ชีวิตไม่ใช่นิยาย แต่ชีวิตคือการต่อสู้” ทั้งต่อสู้กับตนเอง และสภาพสิ่งแวดล้อม

เมื่อมีโอกาสได้พบหลวงพี่น้ำฝน โยมบอก “ดวงตาเริ่มเห็นธรรม ยอมรับกับหลากสิ่งในความเป็นจริงมากขึ้น”

อาตมาแนะให้ “ปลง” ธรรมะสั้นๆกระชับๆ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้คุณเสมอ ถ้าใช้เป็น?!? รับรองไม่เห็นโทษอย่างแน่นอน....

“ปลง” คือไม่ท้อ ไม่ถอย มองสังขารเป็นตัวตั้ง อย่าไปรั้งมันไว้ ปล่อยมันไปตามธรรมชาติ สังขารเขาให้เรามาแค่นี้ ถึงจะไม่สมบูรณ์ แต่เราก็เติมเต็มให้มันไม่พร่องได้

ถ้าวันนี้โยมยอมรับทุกเรื่อง ที่เดินเข้ามาในชีวิตได้ โยมก็อยู่ได้อย่างมีความสุข ถ้ายอมรับได้ ทุกอย่างจบ แต่ถ้ายอมรับไม่ได้.... ไม่วันนี้ ก็วันหน้า ความจริงที่สร้างไว้ตั้งแต่แรกเกิด “พังแน่นอน”

เรื่องอาจารย์ตาบอด ผู้ไม่ยอมแพ้ท่านนี้ อาตมาถือเป็นหลักการที่ดีในการใช้ชีวิต ทั้งเรื่องของความมีคุณธรรม การอุทิศตนเพื่อสังคม ความอดทนต่อความยากลำบาก เพื่อต่อสู้กับอุปสรรคนานับประการ สามารถเป็นแบบอย่างในความพยายาม และความมุ่งมั่นที่จะนำพาชีวิตของตนเองและผู้อื่นให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างน่าสนใจ

“นับเป็นคนหัวใจแกร่ง” และหากโยมท่านใดกำลังท้อแท้ เบื่อหน่ายกับปัญหา ที่ถาโถมอยู่รอบตัว ก็ควรนำเรื่องราวของอาจารย์ท่านนี้ไปเป็นบทเรียน “สู้ไม่ถอย” และร่วมกันสร้างกำลังใจดี ๆ ที่จะช่วยปลุกพลังโยม ขึ้นมาอีกครั้ง หากโยมยึดมั่น ศรัทธาในสิ่งดี ๆ ที่กำลังทำ และก้าวต่อไปอย่างมุ่งมั่น เหมือนกับอาจารย์ท่านนี้....

แม้ร่างกายจะเป็นอุปสรรค แต่หัวใจนั้นกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความ มุ่งมั่น พิสูจน์ให้คนรอบข้างเห็นว่า โยมสามารถทำได้จริง ด้วยการฝึกฝนอย่างหนักหน่วง เหนือกว่าคนร่างกายครบ 32

โยมก้าวออกไปต่อสู้ในโลกของการทำงาน เป็นครูบาอาจารย์ ทำให้คนพิการ และคนปกติทั่วไปภาคภูมิใจ และพร้อมปรบมือส่งเสียงเชียร์ให้กำลังใจตลอดไป

ไม่บ่อยนักที่จะเห็นอาจารย์ตาบอด ที่มีจุดมุ่งหมาย เพื่อสั่งสอนวิชาความรู้ให้กับอนาคตของชาติ แต่โยมก็ คือคน ๆ หนึ่งที่คิดเช่นนั้น ทุก ๆ วัน ในการสอน เพื่อขัดเกลาลูกศิษย์ให้มีวิชาความรู้ติดตัว
โยมเป็น "ครู" ของโรงเรียน ที่ใช้ชีวิตอยู่กับเด็ก ๆ สอนทั้งวิชาการ และกิจกรรมฝึกทักษะชีวิต เพื่อ ให้เด็ก ๆ ช่วยเหลือตัวเองได้ในอนาคต ซึ่งแรงผลักดันที่ทำให้ โยมอุทิศชีวิตและทุ่มเทกายใจเพื่อเด็ก ๆ เหล่านี้ เป็นเพราะอยากจะเติมเต็มโอกาสให้กับเด็ก ด้วยจิตวิญญาณของความเป็นครูผู้ให้อย่างแท้จริง

โยมเต็มที่ในสิ่งที่ทำ มุ่งมั่นเพื่อเด็ก มุ่งมั่นที่จะเปิดโอกาสให้เด็กมากกว่าที่อยากจะเป็นครูมืออาชีพ

บัดนี้โยมได้ดำเนินชีวิตทุกอย่าง อยู่กับโลกแห่งความจริง ขยันเรียนมาตลอดชีวิต เพื่อหวังให้การศึกษาช่วยยกระดับความคิด และการปฏิบัติให้ดีขึ้น และความตั้งใจจริงของโยม ทำให้ขวนขวายคว้าปริญญาเอกให้สำเร็จ

และปฏิเสธไม่ได้ว่า คุณแม่ของโยม คือคนสำคัญที่ช่วยผลักดัน ให้โยมเป็นอย่างทุกวันนี้

โยมทุกท่านจงจำไว้ "คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้" เพราะจากต้นทุนชีวิตที่ติดลบ เกิดมากลายเป็นเด็กตาบอด แต่มาถึงวันหนึ่ง โยมตัดสินใจเลือกเดินในเส้นทางที่จะเป็นคนดี ใฝ่เรียน กระทั่งประสบความสำเร็จ

ไม่มีเหตุผลอะไร ที่จะต้องมานั่งท้อแท้กับโชคชะตาที่เกิดขึ้น เพราะยังมีคนในครอบครัว ที่คอยให้กำลังใจ พร้อมลุกขึ้นสู้กับชีวิตใหม่อีกครั้ง ด้วยการสอบเข้าไปเป็นนักศึกษา ดังใจปรารถนา โดยหวังจะจบออกมาทำงานเป็น ครู และประกาศให้คนในสังคมเปิดใจยอมรับ และให้โอกาสกับคนพิการมากขึ้น 

เมื่อความพิการ ไม่ใช่ข้ออ้างในการเดินหน้า ทำตามความฝัน ด้วยการกล้าลุกขึ้นสู้กับตัวเอง และความพยายามนั้น ส่งผลให้ความสำเร็จ มาเป็นรางวัลชีวิต โดยสิ่งหนึ่งที่อาตมาเห็นได้จากตัวโยมก็คือ ความกล้าหาญที่จะต่อสู้กับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น บวกกับการมีทัศนคติเชิงบวก ทำให้ชีวิตของโยมมีความสุขไม่แตกต่างจากคนทั่วไปเลย!!! ....ขอเจริญพร



พิธีขอขมากรรม ส่งท้ายปีเก่ารับพรปีใหม่

บทความที่ได้รับความนิยม