ร่วมบูชาวัตถุมงคล วัดไผ่ล้อม นครปฐม

วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2556

‘แม่’ เป็นภารโรง ‘ลูก’ ได้เป็นครู แล้วไง!?!
ครู คือผู้ให้ มิใช่เหยียดหยาม แบ่งชั้นวรรณะ
คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม

เจริญพรญาติโยมพุทธศาสนิกชนทุกท่าน คอลัมน์ จุดไฟในใจคน ที่ผ่านมา ถูกตรวจสอบ โดยกระบวนการคัดกรองนำเสนอเรื่องราวต่างๆ ผ่านตาสาธุชนไปแล้วมากมายหลายบทความ
แฟนคลับอาตมาส่วนใหญ่ ใจจรดใจจ่อ รออ่านทุกสัปดาห์ สายตาทุกคู่เฝ้าดูบนเนื้อหน้ามติชนสุดสัปดาห์แห่งนี้ ลุ้นว่าจะมีเรื่องราวอะไรเด็ดๆ ที่ไปตรงกับชีวิตจริงของโยมบ้าง จะได้นำแสงสว่างทางธรรมะ ไปประกอบปรับใช้ แก้ไขชีวิตประจำวันให้ดีขึ้น

ทุกเรื่องที่นำเสนอ ล้วนเป็นความจริง เกิดขึ้นจริงในสังคมไทย อาตมาทำหน้าที่จุดไฟในธรรมะให้ลุกโชน สาดแสงไปทั่วหัวใจคนไทยที่นับถือพุทธศาสนาทุกคน เมื่อได้รับประกายไฟดวงนี้แล้ว จักส่งผลให้สามารถกระจ่างทางความคิด และแนวปฏิบัติที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมอย่างถ่องจริง

เมื่อกาลผ่านล่วงเลย อาตมายังไม่เคยเขียนเรื่องคนในวิชาชีพ “ครู” แม้เพียงครั้งเดียว

ฉบับนี้ก็เลยถือโอกาส หยิบยกเรื่องครูมาเขียนบ้าง เหตุเกิดห้วงเวลาไม่นาน ที่จังหวัดนครปฐมของอาตมานี่ล่ะ ตัวละครทั้งหมดใช้ชีวิตทำงานอยู่ในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังระดับประเทศ

บุคลากรครูในองค์กร ล้วนเป็นคนคุณภาพ ไม่เว้นแม้นักการภารโรง พร้อมทั้งนักเรียนทั้งหมด ส่งผลให้โรงเรียน มีผลงานดีเด่นระดับชาติ เป็นที่ประจักษ์ในความเก่ง ควบคู่คุณธรรม

แต่ในความขาวบริสุทธิ์นั้น ย่อมมีสีดำแปดเปื้อน หลงเข้าไปในความสะอาด ที่สำคัญทุกสังคมย่อมมีความสกปรกเจือปน โดยเฉพาะในคนหมู่มาก ย่อมมีเรื่องเสียดสี ทะเลาะเบาะแว้ง อิจฉาริษยา นินทากาเลสารพัด

สิ่งต่างๆเหล่านี้ อาตมาเคยมีความฝันว่ามันไม่ควรเกิดขึ้นกับครูบาอาจารย์ ซึ่งเป็นแม่พิมพ์พ่อพิมพ์ของชาติ และปราศจากอคติใดๆทั้งปวง

ฝันของอาตมาล่มสลาย เมื่อได้ข่าวคุณครูท่านหนึ่ง ในสถาบันที่มีชื่อเสียงโดดเด่นระดับประเทศแห่งนี้ กลับทำตัวเหลวไหล ไร้สาระ ในหัวใจเพาะบ่มด้วยสนิมที่เกาะกินหนาแน่นเกินเยียวยา

คุณครูท่านนี้ได้แสดงความรังเกียจรังงอน ลูกของนักการภารโรงท่านหนึ่ง ซึ่งอยู่ในโรงเรียนเดียวกัน

เหตุที่เกิดย่อมต้องมีมูล ครูไม่ชอบภารโรงเป็นการส่วนตัว แต่พอวันหนึ่งลูกภารโรงได้ไต่เต้าชีวิตลิขิตตนเองมาเป็นครู ในโรงเรียนที่แม่ของตนเป็นนักการภารโรง

อาการแบ่งชั้นวรรณะของคุณครูท่านนี้ เป็นที่น่ารังเกียจอย่างยิ่ง ถ้าชาวโลกได้รับรู้

ปรากฏการณ์เฉกเช่นนี้ เกิดขึ้นในวงแคบ เพียงภายในโรงเรียนเท่านั้น แต่ด้วยหัวใจของผู้เป็นแม่ ในฐานะอาชีพที่ต่ำต้อยน้อยวาสนา เขาผิดด้วยหรือ ที่เกิดมาเป็นนักการภารโรง แล้วมีลูกที่ใฝ่ดี ถวิลหาอาชีพ “รักในความเป็นครู”
สีหน้าแววตาที่เหยียดหยาม เอ่ยมธุรสวาจา จาบจ้วงว่าเธอมันชั้นต่ำ มีแม่เป็นภารโรง แล้วมึงยังมีหน้าสะเออะมาเป็นครู อีกฤา

ถ้อยคำเยี่ยงนี้ ครูสมควรพูดหรือไม่ ญาติโยมท่านผู้อ่านทุกท่านพิจารณาได้ ด้วยสมองและปัญญา

คำว่า ขี้ข้า มันรุนแรงเกินไป สำหรับแม่พิมพ์ของชาติ ไม่ควรแม้แต่คิด

ด้วยความเป็นแม่ที่ไม่เคยท้อแท้ ทำงานอาชีพนี้ รู้กันทั้งประเทศว่าเงินเดือนมันแสนจะน้อยนิด แต่ผู้เป็นแม่ มิเคยละความพยายาม ดิ้นรนทุกวิถีทางในการหารายได้พิเศษ ทำงานเสริมพิเศษทุกอย่างที่มีคนจ้าง เพื่อนำเงินมาจุนเจือส่งเสียให้ลูกได้เรียนสูงๆ และได้เรียนในวิชาชีพที่ลูกปรารถนา นั่นคือ “อาชีพครู”

ลูกเดินตามความฝันสำเร็จสมปรารถนา แต่อุปสรรคปัญหา ก็ตามมารังควานจนได้ เมื่อต้องมาเจอกับมารในชีวิต กลั่นแกล้ง ด่าทอ ส่อเสียด ทำทุกหนทาง เพื่อขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของเด็กสาวคนนี้ เพียงแค่ แม่เขาเกิดมาจน แล้วเลือกอาชีพไม่ได้

อาตมาขอตั้งคำถาม “แม่เป็นภารโรง มันผิดตรงไหน”

อาตมาเห็นความชัดเจนในคุณครูท่านนี้ นั่นคือ ความไม่มีพรหมวิหาร 4

คุณครูดีๆและที่ยังมีสนิมทั้งหมด หันมาฟังทางนี้ อาตมามีข้อชี้แนะ จงจำไว้ ครูทุกท่าน ควรต้องมี พรหมวิหาร เพราะวิหาร คือ ที่อยู่ ส่วน พรหม คือ ประเสริฐ

ฉะนั้นคุณครูที่ดีต้อง เอาใจจับอยู่ในอารมณ์แห่งความประเสริฐ หรือเอาใจไปขังไว้ในความดีที่สุด นั่นคือ คุณธรรม อันประกอบด้วย เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา 
คุณครูทุกท่าน ควรมีคุณธรรมนี้ นอกจากความเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐแล้ว ยังเป็นอานิสงส์ความสุขแก่ผู้ปฏิบัติ คือ “สุขัง สุปะติ” นอนหลับเป็นสุข เหมือนนอนหลับในสมาบัติ ตื่นขึ้นมีความสุข ไม่มีความขุ่นมัวในใจ นอนฝัน ก็ฝันเป็นมงคล เป็นที่รักของมนุษย์ เทวดา พรหม และภูติผีทั้งหลาย

เทวดา พรหม จะรักษาให้ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง จะไม่มีอันตรายจากเพลิง สรรพาวุธ และยาพิษ จิตจะตั้งมั่นในอารมณ์สมาธิเป็นปกติ สมาธิที่ได้ไว้แล้วจะไม่เสื่อม มีแต่จะเจริญยิ่งขึ้น มีดวงหน้าผุดผ่องเป็นปกติ เมื่อจะตาย จะมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์

ถ้ามิได้บรรลุมรรคผลในชาตินี้ ผลแห่งการเจริญพรหมวิหาร 4 นี้ จะส่งผลให้ไปเกิดในพรหมโลก มีอารมณ์แจ่มใส จิตใจปลอดโปร่ง ทรงสมาบัติ วิปัสสนา และทรงศีลบริสุทธิ์

คุณครูควรมี ความเมตตา มีความรัก รักที่มุ่งเพื่อปรารถนาดี โดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ จึงจะตรงกับคำว่า เมตตาในที่นี้ ถ้าหวังผลตอบแทนจะเป็นเมตตาที่เจือด้วยกิเลส ไม่ตรงต่อเมตตาในพรหมวิหารนี้

ลักษณะของเมตตา ควรสร้างความรู้สึกคุมอารมณ์ไว้ตลอดวัน ว่า เราจะเมตตาสงเคราะห์ เพื่อนที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย จะไม่สร้างความลำบากให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ความทุกข์ที่เขามี เราก็มีเสมอเขา ความสุขที่เขามี เราก็สบายใจไปกับเขา รักผู้อื่นเสมอด้วยรักตนเอง

คุณครูควรมี ความกรุณา มีความสงสาร มีความปรานี ปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ความสงสารปรานีนี้ก็ไม่หวังผลตอบแทนเช่นเดียวกัน สงเคราะห์สรรพสัตว์ที่มีความทุกข์ให้หมดทุกข์ตามกำลังกาย กำลังปัญญา กำลังทรัพย์

ลักษณะของกรุณา การสงเคราะห์ทั้งทางด้านวัตถุ โดยธรรม ว่าผู้ที่จะสงเคราะห์นั้นขัดข้องทางใด หรือถ้าหาให้ไม่ได้ ก็ชี้ช่องบอกทาง

คุณครูควรมี มุทิตา มีจิตอ่อนโยน จิตที่ไม่มีความอิจฉาริษยาเจือปน มีอารมณ์สดชื่นแจ่มใสตลอดเวลา คิดอยู่เสมอว่า ถ้าคนทั้งโลกมีความโชคดีด้วยทรัพย์ มีปัญญาเฉลียวฉลาดเหมือนกันทุกคนแล้ว โลกนี้จะเต็มไปด้วยความสุข สงบ ปราศจากอันตรายทั้งปวง คิดยินดี โดยอารมณ์พลอยยินดีนี้ไม่เนื่องเพื่อผลตอบแทน การแสดงออกถึงความยินดีในพรหมวิหาร คือไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น

คุณครูควรมี อุเบกขา ความวางเฉย นั่นคือ มีการวางเฉยต่ออารมณ์ที่มากระทบความวางเฉยในพรหมวิหารนี้ หมายถึง เฉยโดยธรรม คือทรงความยุติธรรมไม่ลำเอียงต่อผู้ใดผู้หนึ่ง คุณครูที่มีพรหมวิหาร 4 สมบูรณ์ ศีลย่อมบริสุทธิ์ คุณครูที่มีพรหมวิหาร 4 สมบูรณ์ ย่อมมีฌานสมาบัติ

คุณครูที่มีพรหมวิหาร 4 สมบูรณ์ เพราะอาศัยใจเยือกเย็น ปัญญาก็เกิด...ขอเจริญพร

พิธีขอขมากรรม ส่งท้ายปีเก่ารับพรปีใหม่

บทความที่ได้รับความนิยม