ร่วมบูชาวัตถุมงคล วัดไผ่ล้อม นครปฐม

วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2557

‘ หนุ่มใต้ คนตรัง’ สิ้นหวัง!! พลังหมด!!กำลังใจหาย 

 ‘พ่อแม่ตาย’ หนี้สินมากมาย

หลวงพี่เติมพลัง ลุกสู้ ‘ท้อได้ แต่อย่าถอย’

คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม


เจริญพร ญาติโยมพุทธศาสนิกชนทุกท่าน พลันที่ รายการคิดไม่ออก บอกหลวงพี่น้ำฝน จบลงทีไร ญาติโยมก็กระหน่ำโทร.เข้ามาหาอาตมาไม่ขาดสายเช่นกัน

ซึ่งอาตมาก็ให้แสงสว่างไปตามอัตภาพสติปัญญา ด้วยความบริสุทธิ์จริงใจ อยากให้โยมทุกคน อยู่รอดปลอดภัย อย่างเข้มแข็งมีพลัง และสิ่งที่สำคัญ อาตมาย้ำอยู่เสมอก็คือ โยมท้อแท้ได้ แต่ห้ามท้อถอย และขอให้กำลังใจทุกคน จงลุกขึ้นสู้สู้

และสำหรับฉบับนี้ ที่อาตมาซึ้งใจ ก็ตรงที่ มีโยมท่านหนึ่ง อุตสาห์เดินทางมาจากแดนไกล หมดค่ารถค่ารามากมาย โยมมาจากภาคใต้ จังหวัดตรัง  บอกมารอที่วัดตั้งแต่เช้ามืด

นี่แสดงว่าโยมทุกข์ร้อนใจจริงๆ และมีความหวัง มีความศรัทธาในตัวอาตมา ที่จะสามารถชี้ทางออก บอกทางสวรรค์ให้โยมได้

โยมบอก ชมรายการโทรทัศน์ ที่อาตมาจัด เป็นประจำ และที่มาวันนี้ มีเรื่องทุกข์มาปรึกษา โยมเล่าว่า  ห้วงนี้รู้สึกจิตใจห่อเหี่ยว เพราะที่ผ่านมา ทำธุรกิจบ่อเลี้ยงกุ้ง เคยรุ่งอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็ร่วง

ธุรกิจขาดทุน หนี้สินอีรุงตุงนัง ชักหน้าไม่ถึงหลัง จวบจนวันนี้รู้สึกห่อเหี่ยวใจ อยากจะฆ่าตัวตายให้มันรู้แล้วรู้รอด

สุดท้ายนึกถึงหลวงพี่น้ำฝน จึงตัดสินใจเดินทาง ออกจากบ้านจังหวัดตรัง แวะมาหาเพื่อนที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แล้วก็ชักชวนกันมาที่ วัดไผ่ล้อม จังหวัดนครปฐม

ณ เวลานี้ สิ่งที่อาตมาเห็น สภาพภายนอกของโยม ยอมรับว่าหมดราศี แววตาอ่อนล้า ฉายแววว่ากำลังอยู่ในห้วงจิตใจว้าวุ่น สับสน กังวน และที่สำคัญโยมกำลังทำร้ายตนเอง ตำหนิตนเอง และดูถูกตัวเองอย่างรุนแรง

ความคิดนี้มันสะสมหมักหมม หมกมุ่น ผสมพันพัวอยู่ในใจ จนกลายเป็นความทุกข์ จิตและกายห่อเหี่ยว หมดกำลังใจ ท้อแท้ พอหนักมากขึ้น ก็ถึงขั้น อยากจะหนีปัญหาทั้งหมด ด้วยการฆ่าตัวตาย


อาตมาขอถามโยมว่า การฆ่าตัวตายช่วยอะไรได้!!! อยากให้โยมมองที่เหตุผล ความตาย ไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหา แต่โยมกำลังจะเพิ่มปัญหาให้ตัวเอง เป็นการผูกเวร ไม่จบไม่สิ้น ที่สำคัญ บาปมากๆ

เรื่องปัญหาหนี้สิน ไม่ใช่มีโยมคนเดียวที่เป็นหนี้ คนไทย 30 กว่าล้านคน ล้วนเป็นหนี้กันทั้งนั้น อาตมาก็เป็นหนี้ หาเงินมาสร้างวัด โรงเรียน โรงพยาบาล ช่วยเหลือสังคม เลี้ยงคนงานภายในวัด เป็นหนี้สินมากกว่าโยมเสียอีก แต่ทำไมอาตมาถึงต้องสู้ และอยู่ได้มาจนทุกวันนี้

สิ่งสำคัญที่โยมต้องปลง และอาตมาก็ต้องปลงเหมือนกัน นั่นคือ ต้องทำใจ โยมต้องมองไปข้างหลัง แล้วก็หันไปมองข้างหลัง คนที่หนักยิ่งกว่าโยม ยังมีอีกมากมายหลายสิบล้านคน แต่ทำไมเขายังสู้ ทำไมเขาถึงไม่คิดฆ่าตัวตาย

ปัญหาทุกเรื่องมีทางออก มีทางแก้ไข โยมเป็นหนี้ แต่โยมไม่ได้หนีไปไหน บอกเจ้าหนี้เขาไปตามตรง อธิบายให้เขาฟัง เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดตามความเป็นจริง แล้วบอกเขาไปว่า เราจะหาทางทำงาน เริ่มต้นใหม่ แล้วจะใช้หนี้ให้เร็วที่สุด

และที่โยมเน้นว่าอยากตาย โยมไม่ต้องไปฆ่าตัวตายให้บาปกรรม เพราะถึงอย่างไร โยมก็ต้องตายอยู่แล้ว ไม่ช้าก็เร็ว อาตมาก็ต้องตายเช่นกัน ทุกคนในโลกใบนี้ต้องตาย ไม่มีใครหนีความตายไปได้ ฉะนั้นจงลืมเรื่องฆ่าตัวตายซะ

และที่โยมตัดพ้อ ว่า พ่อก็ตาย แม่ก็ตาย พี่ก็ตาย ถามเป็นเพราะดวงชงหรือไม่ หรือเป็นเพราะ ดวงไม่ดี นี่ก็เป็นการเข้าใจผิด พ่อโยมอายุ 80 กว่าปี แม่โยมอายุ 70 กว่าปี เขาอายุมากแล้ว มันเป็นไปตามสังขาร ตามวาระ และพี่โยมก็เช่นเดียวกัน เขาทำเวรทำกรรมมาแค่นี้ เขาต้องตายตามธรรมชาติ ไม่มีใครฝืนได้

คนเราทุกคน ต้องมี การเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย อาตมาย้ำเรื่องนี้ทุกครั้งที่สอน แล้วโยมจะเครียดไปเพื่ออะไร ที่สำคัญโยมต้องละให้ได้ในชั่วโมงนี้คือ กิเลส ความโลภ ความโกธร ความหลง

กิเลสคือตัวปัญหา แต่ทุกปัญหา ก็มีทางออก ทุกปัญหา ต้องใช้ “ ศีล สมาธิ สติปัญญา” เพื่อแก้ไข แต่เรื่องบางเรื่อง เกินกว่า สติปัญญา จะแก้ไข
โยมก็ต้องอยู่ กับปัญหา อย่างเข้าใจ อย่าเดินหลงทางไปกับมัน

ควรให้กำลังใจตนเอง ด้วยการคิดบวก ตามวิธีของอาตมา คือ โยมอย่าปล่อยให้เหตุการณ์แย่ๆ มาทำลายชีวิตโยม และจงจำไว้ อดีตไม่เท่ากับอนาคต และอย่าคาดหวังกับอนาคต ควรคิดถึงภาพรวม อย่าตัดสินอะไรแค่คิดว่า ดีกับไม่ดี จงดูแลสุขภาพ และควรมีเป้าหมายที่ชัดเจน และที่สำคัญโยมต้องนึกถึงแต่สิ่งดีดี นี่คือหลักคิดที่อาตมาใช้อยู่เป็นประจำ

ญาติโยมทุกท่าน ชีวิตในบางครั้ง ความไม่ยุติธรรม คล้ายเป็นเรื่องถูกต้อง ความเจ็บปวด คล้ายเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ความเสียเปรียบ อาจถูกยัดเยียดให้ ความพ่ายแพ้ อาจเกิดขึ้นได้ อย่างไม่คาดฝัน คนที่เข้มแข็งเท่านั้น จึงจะสามารถ ทนรับเอาไว้ได้ เพื่อที่จะกอบกู้ ทุกอย่างกลับคืนมา

และควรละ ราคะ โทสะ โมหะ ตัณหา หันเข้าหาความ สงบ ประณีต สลัดทิ้งความท้อเสีย ที่ผ่านมาความสุข มักทำให้โยมลืมตัว แต่ในความทุกข์ มักทำให้โยมมีสติ

สุดท้าย อาตมาขอฝาก มงคลชีวิต ที่ญาติโยมทั้งหลาย ควรจดจำให้ขึ้นใจ ควรปฏิบัติให้ได้ พยายามสอนตัวเองปลุกกายใจให้มีพลัง เริ่มต้นเช้าวันใหม่ สิ่งที่ควรปฏิบัติให้เป็นนิจสม่ำเสมอ อย่านอนตื่นสาย อย่าอายทำกิน อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา

อย่าเสวนาคนชั่ว อย่ามั่วอบายมุข อย่าชิงสุกก่อนห่าม อย่าพล่ามก่อนทำ อย่ารำก่อนเพลง อย่าข่มเหงผู้น้อย อย่าคอยแต่ประจบ อย่าคบแต่เศรษฐี อย่าดีแต่ตัว อย่าชั่วแต่คนอื่น อย่าผ่าฝืนกฎระเบียบ อย่าเอาเปรียบสังคม อย่าชื่นชมคนผิด อย่าคิดเอาแต่ได้

อย่าใส่ร้ายคนดี อย่ากล่าววจีมุสา อย่านินทาพระ-จ้าว อย่าขลาดเขลาเมื่อมีทุกข์ อย่าสุขจนลืมตัว อย่าเกรงกลัวงานหนัก อย่าพิทักษ์ พาลชน อย่าลืมตนเมื่อมั่งมี ถ้าทำได้เยี่ยงนี้ ชีวิตจะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง อย่างแน่นอน....ขอเจริญพร



วันอังคารที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2557

สาวใหญ่กลุ้มใจ ‘เลี้ยงลูกไม่ได้ดั่งใจ’
สงสัยกรรมเก่า? เคยแย่งสามีเขามา
หรือที่เคยทิ้งผู้ชาย- ส่งผลตามสนอง
คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม

เจริญพรญาติโยมทุกท่าน เมื่อเร็วๆนี้มีโยมสีกา โทร.มาจากสวิตเซอร์แลนด์ มีปัญหาคาใจ ถามไถ่เล่าความทุกข์

โยมกลุ้มใจเรื่องลูกชาย พูดอะไรไม่เชื่อฟัง ทั้งที่โตเป็นหนุ่ม เรียนจบปริญญาตรี แต่ทำตัวเหมือนเด็ก โยมสงสัยใช่กรรมเก่าหรือไม่ เพราะอดีตเคยทำไม่ดีไว้พอสมควร

โยมเล่าสมัยยังสาว เสน่ห์แพรวพราว บาดใจชายหนุ่ม แต่ก็เคยผิดพลาด ไปหลงรัก คนที่เขามีคู่อยู่แล้ว สมัยนั้นต้องการเอาชนะ จึงแย่งเขามา พอสมใจอยาก อยู่ด้วยกันไม่นาน เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่ ผู้ชายในฝัน พอแย่งมาสะใจ สุดท้ายก็ทิ้ง

ชั่วโมงนั้น ไม่สนเรื่องเวรกรรม ไม่กลัวบาปกรรมใดๆทั้งสิ้น เมื่อทิ้งแฟนคนแรก ชีวิตผันแปร พบรักหนุ่มชาวอังกฤษ แต่ความรักไม่ราบรื่น ทั้งที่หนุ่มคนนี้ รักโยมมาก รู้สึกเบื่อหน่าย ตัดสินใจทิ้งหนุ่มเมืองผู้ดี ปรากฏว่า เขาไปโดดตึกตาย ที่พัทยา

ชีวิตรักยังไม่จบ เจอหนุ่มฝรั่งเศส เตรียมจะไปแต่งงาน อีก 3 วันจะบิน เขาบอกไปไม่ได้ เพราะมีครอบครัวแล้ว ทุกอย่างจบเห่ ความฝันพังทลาย

ละครชีวิตจริง เรื่องนี้ยังไม่จบ จากนั้นโยมมีโอกาสไปเที่ยวทะเลชะอำ ได้พบกับหนุ่มใหญ่ชาวสวิตเซอร์แลนด์ แต่งงานตามประเพณี อยู่ด้วยกันจวบจนวันนี้ 7 ปี

นับเป็นครอบครัวที่อบอุ่น เพราะเขาเป็นคนดีมาก แต่ที่โทร.มาหาหลวงพี่วันนี้ กลุ้มใจเรื่องลูกชาย รู้สึกท้อใจ ลูกไม่สนใจการงาน ว่าเตือนไม่เชื่อฟัง อยากถามหลวงพี่ นี่ใช่กรรมเก่าหรือไม่?

ก่อนอื่นโยมต้องตั้งสติให้ดี จากที่อาตมาลำดับเหตุการณ์ วันนี้ชีวิตโยมดีมากแล้ว ได้สามีดี เป็นคนดี รักโยมมาก ถือว่าโชคดี ควรใช้ชีวิตให้มีความสุข

สำหรับเรื่องลูกชายอย่าไปเครียดให้มากจนเกินไป เขาโตแล้ว มีการศึกษา มีสติปัญญา ต้องค่อยๆสอน อบรมเขาไป อย่าไปกังวน ถ้าโยมทุกข์ คนที่แย่คือโยม เพราะเวลาที่โยมทุกข์ไม่มีใครมาร่วมทุกข์ด้วย ความทุกข์ไม่ได้สร้างประโยชน์อันใดให้ร่างกายและจิตใจ มีแต่จะทำให้เสียสุขภาพจิต


ควรดูแลสามี ดูแลตนเอง รักษาสุขภาพ หาความสุขให้กับชีวิต เรื่องเก่ามันผ่านไปแล้ว ใช้ชีวิตในวันใหม่ อยู่กับความจริง และสิ่งที่อาตมาอยากจะฝากไปยังญาติโยมทุกท่าน ที่มีความทุกข์เรื่องลูก ให้มองเป็นเรื่องธรรมดา ต้องทำใจ ปัญหานี้บอบบาง หากแก้ไม่ถูกทาง อาจลุกลามบานปลาย “ลูกชายหนีเตลิด” 

ก่อนอื่นโยมต้องเข้าใจคนวัยหนุ่ม คิดย้อนไปถึงตอนที่โยมเป็นวัยรุ่น แล้วค่อยหาสาเหตุว่าทำไมลูกโยมถึงเป็นเช่นนี้?

สาเหตุสำคัญ ที่ทำให้ลูกดื้อ เกเร แหกคอก และนิสัยไม่ดี คือ “ขาดความอบอุ่น” 

โยมให้ความอบอุ่นเขาดีแค่ไหน หรือปล่อยปละละเลยไม่สนใจ แต่พอทำผิดมาก็เอาแต่ด่า ทับถมซ้ำเติม ไม่ค่อยมีเวลาให้เขา มัวแต่ทำงาน วัยรุ่นที่เสียคนส่วนมากรับสารภาพว่า “เขาขาดความอบอุ่นในครอบครัว” “พ่อแม่ไม่สนใจ”

ขาดที่พึ่ง วัยรุ่นส่วนมากต้องการที่พึ่งทางใจ เขายังใหม่ต่อโลก มักมีปัญหา สงสัย อยากรู้อยากเห็นอยากลอง อยากเท่ห์ เป็นวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่พ่อแม่ต้องดูแล หากพ่อแม่เป็นที่พึ่งไม่ได้ ก็หันไปหาเพื่อน หันไปพึ่งยาเสพติด พึ่งแหล่งบันเทิงเริงรมย์ ด้วยคิดว่านี่เป็นที่พึ่งที่สบายใจ

ขาดคนเข้าใจ “แม่ไม่เข้าใจผม” คุยกันคนละภาษา ทำให้เกิดความไม่เข้าใจกัน และบางครั้งความรักความห่วงใยที่พ่อแม่ให้มากเกินไป อาจทำให้เขารำคาญหงุดหงิดเหมือนถูกลิดรอนเสรีภาพ

บางครั้งโยมต้องผ่อนปรนและปล่อยเขาบ้าง ให้เขาได้ทำอะไรตามจิตนาการ ให้เขาได้ออกไปเที่ยวในโลกกว้าง เดี๋ยวเขาจะคิดได้เอง

จงจำคาถาในการเลี้ยงลูกบทนี้ไว้ให้ดี จงภาวนาทุกวัน และปัญหาของโยมจะคลี่คลายลงได้ “น้ำเย็น หมูยอ กอไผ่ ใส่เตา ๆๆๆ”

น้ำเย็น
 อากาศร้อนหากได้น้ำเย็นสักแก้วจะสบายและผ่อนคลายมาก วัยรุ่นวัยหนุ่มเป็นวัยร้อน เมื่อลูกร้อนมา โยมก็ต้องเย็นไป โยมต้องใช้น้ำเย็นเข้าลูบ พูดจาด้วยอารมณ์เยือกเย็น ไม่วู่วาม ไม่ด่าว่าด้วยถ้อยคำที่รุนแรงหยาบคาย และไม่ด่วนลงโทษ เมื่อเขาทำผิดพลาดครั้งแรก โยมต้องชี้แจงให้ลูกฟังด้วยเหตุผล ด้วยจิตเมตตา แสดงอาการเห็นอกเห็นใจ แนะนำไปว่าอะไรควรไม่ควร

หมูยอ คำชมหรือคำยอใครก็ชอบ พ่อแม่ต้องรู้จักยอลูกบ้าง เป็นกำลังใจให้เขา

กอไผ่ “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่องก็ต้องกำราบบ้าง

ใส่เตา เมื่อโยมเฝ้าพร่ำสอนและทำทุกวิถีทางแล้วแต่เขาไม่ได้ดีขึ้นหรือไม่ได้ปรับปรุงตัวขึ้นเลย ก่อนจะใช้วิธีสุดท้ายนี้ -ลองใช้วิธีของพระพุทธเจ้าที่สอนพระฉันนะ ที่ดื้อรั้นสอนไม่ฟัง คือ การลงทัณฑ์กรรม หรือคว่ำบาตร ไม่สนใจใยดี ปล่อยวางอารมณ์ ขนาดพระพุทธเจ้ายังสอนไม่ได้ทุกคนเลย ประสาอะไรกับเราปุถุชน ใส่เตาเผาสะเลย แค่เลือดก้อนเดียว อุตส่าห์เลี้ยงให้เป็นคนดีแต่ไม่อยากดีก็ช่วยไม่ได้ ปล่อยไปตามเวรกรรมเขาต้องมีโลกของเขาที่ต้องเผชิญเมื่อเขาเลือกวิถีชีวิตของเขาเช่นนั้นก็จงให้อิสระในการเลือกแก่เขา

“ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว” แต่ก่อนจะใส่เตาเผา โยมต้องไว้อาลัยด้วยการระลึกถึงหน้าที่ของความเป็นพ่อแม่ ว่าโยมได้ทำเต็มที่ หรือทำได้ดีพอหรือยัง คือหน้าที่ทางกายกับหน้าที่ทางใจสอนลูกไม่ให้ทำชั่ว แนะนำให้ลูกทำความดี ส่งเสริมตามสติปัญญา ปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม

หากโยมได้ทำหน้าที่มาอย่างสมบูรณ์ดีแล้ว ส่วนเขาจะเป็นไปอย่างที่โยมหวังหรือไม่ ได้ดั่งใจหรือไม่ มันก็สุดแล้วแต่วาสนาโชคชะตาเวรกรรมของเขา ส่วนโยมก็ต้องอุเบกขา คือปล่อยวางลงให้ได้ หากคิดมากไปก็รังแต่จะทุกข์กังวลใจเปล่าๆ

และที่สำคัญโยมควรแผ่เมตตาอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ลูกบ้าง เผื่อบางทีอาจจะช่วยได้ไม่มากก็น้อย!!!...ขอเจริญพร



โจรกลับใจ! รูปหล่อเท้าไฟ วันนี้ ‘กลัว’
‘สับขาหลอก ภรรยา’ จนวาระสุดท้าย
พอมีลูกสาว เริ่มรู้ซึ้ง! ถึง ‘วิบากกรรม’
คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม

เจริญพรญาติโยมทุกท่าน คอลัมน์จุดไฟในใจคนฉบับนี้ อาตมานำเสนอเรื่องของลูกศิษย์ใกล้ชิดรายหนึ่ง หยิบยกขึ้นมา เพราะเห็นว่าลีลาของเขาไม่ธรรมดา น่าสนใจ

ที่สำคัญเรื่องแนวนี้ สามารถสะกิดต่อมสำนึก ในใจโยมให้ลุกโชนได้ ยิ่งถ้าใครเคยมีพฤติกรรมเยี่ยงนี้ แล้วนำไปปรับปรุงแก้ไข เปลี่ยนวิถีปฏิบัติ ในการดำเนินชีวิต ย่อมเกิดผลดีเพราะนี่คือตัวอย่างของการลองผิดลองถูก เป็นประสบการณ์ที่ไม่ดี แต่หลายคนก็เคยเป็นแบบนี้ บางคนหาทางออกไม่ได้ บางคนถอนตัวทันก็โชคดี แต่ถ้าไม่รีบถอนตัว ก็ลงนรกทั้งเป็นเช่นกัน

ซึ่งพฤติกรรมเยี่ยงนี้ อาตมาเห็นมาหมดแล้ว แต่ละคนล้วนไม่ธรรมดา โดยเฉพาะเหล่าบรรดาผู้ชายวัยคะนองทั้งหลาย กลุ่มคนพวกนี้ ล้วนมีฤทธิ์เดชมากมาย ในยามหนุ่มสาว ใช้ชีวิตท้าทาย ไม่สนใจฟ้าดิน เอาแต่ใจตัวเอง ไม่กลัวเรื่องบาปบุญคุณโทษ

สนใจแต่จะหาความสุข สนองตัณหาราคะไปวันๆ “กิน เล่น เที่ยว ดื่ม เสพกาม” พอตกเวลากลางคืน คนพวกนี้ ก็มักจะไปอยู่ตามร้านเหล้า ผับ เทค สนุกสนาน แดนซ์กันอย่างเมามันส์ ชนิดเท้า เป็นไฟกระจายเลยทีเดียว แต่สำหรับลูกศิษย์รายนี้ เขาเป็นนักร้อง หน้าตาดี ร้องเพลงตามร้านอาหารทั่วไป รายได้ดี มีสาวๆมาติดพันมากมาย ด้วยความเป็นคนมีเสน่ห์ พูดจาสุภาพอ่อนโยน หวานกับสาวๆทุกคน และในแต่ละวัน จะมีสาวๆหลายคน ตกเป็นเหยื่อของเขา และส่วนใหญ่ต่างเต็มใจที่จะไปร่วมหลับนอน

ลูกศิษย์ที่มีพฤติกรรมเฉกเช่นนี้ อาตมามักจะเรียกมาคอยว่ากล่าวตักเตือนเสมอ ด้วยความหวังดี แต่ก็ห้ามยาก เวลามาวัด พูดสอนอะไรไป พวกเขาเหล่านั้น ก็ทำท่าเหมือนเชื่อฟัง แต่พอลับหลังอาตมา ก็เข้าตำราเดิม คือ “หน้าไหว้ หลังหลอก” สอนเตือนไป “เข้าหูซ้าย ทะลุหูขวา” เด็กหนุ่มพวกนี้ “ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา” อาตมาก็ได้แต่ทำใจเอือมระอา แต่ลูกศิษย์พวกนี้จะยังดีอยู่อย่างหนึ่งคือ พอถึงเวลาอันสมควร เมื่อมีเมียมีลูกแล้ว พวกเขาจะหยุดไปเองโดยปริยาย

เสมือนการมีลูก เป็นการไปสร้างจิตสำนึกให้เขา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า สำนึกทุกคนเสมอไป บางรายพอมีเมียมีลูก ยิ่งเป็นหนักกว่าเดิม แต่ก็มีไม่มากเท่าใดนัก

สำหรับรายที่เลิกได้นี้ อาตมาเรียกศิษย์พวกนี้ว่า “พวกโจรกลับใจ” ซึ่งลูกศิษย์ท่านนี้ ทุกวันนี้เขาร้องเพลงน้อยลง เน้นมาทำมาหากิน ประกอบอาชีพค้าขายรถยนต์ ส่วนเมียคนปัจจุบัน ทำงานธนาคาร มีรากฐานมั่นคง มีลูกสาว 1คน อายุขวบกว่าๆ หน้าตาเหมือนพ่อมาก

ลูกสาวคนนี้ มีผลทำให้พ่อหยุดทุกอย่าง เมื่อเขาเห็นหน้าลูก เขาหยุดความเจ้าชู้ ถอดเขี้ยวเล็บตัดเก็บใส่กระเป๋า เฝ้ามองลูกด้วยจิตสำนึกเพราะ “กลัววิบากกรรม”ตามสนอง เขาเลิกวิถีรูปหล่อเท้าไฟ ที่เคยสับขาหลอกเมียอยู่เนืองนิจ

วันนี้โยมบอกว่า “กลัว” เพียงคำเดียวสั้นๆ ส่งชีวิตให้พลิกผัน กลับตัว กลับใจ เป็นคนใหม่ เพราะกลัวว่าเวรกรรมจะมาตกกับลูกสาว นี่คือความคิด ที่เขารู้สึกได้เอง และสารภาพบอกกับอาตมา ด้วยความสำนึกอย่างจริงใจ

อาตมาไม่ได้สอนแบบจ้ำจี้จ้ำไช เขารู้ด้วยตัวเอง เพราะก่อนหน้านี้ เขาหลอกสาวๆมามากมาย ด้วยกลอุบายต่างๆ ด้วยหวังจะได้เพียงเรือนร่าง มิได้สนเรื่องใจ หรือต้องการร่วมหอลงโลง ในแต่ละวันให้ความหวังฝ่ายหญิง ด้วยการหลอกมีสัมพันธ์เพียงชั่วคราว และผู้หญิงส่วนใหญ่ที่มาติดกับดัก “เชื่อ” เพราะอยู่ในห้วงแห่งความหลงใหล ใน “รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส”

เด็กสาววัยรุ่นส่วนใหญ่ในสังคมไทย ล้วนคิดแบบนี้ ปลื้มนักร้องศิลปินดารา อยากใกล้ชิด อยากสัมผัส อยากได้มาครอบครองเป็นของตนเพียงคนเดียว

บางคนหวังไกลไปถึงอนาคต อยากแต่งงาน อยากมีลูกร่วมกัน อยากมีทายาท เป็น “โซ่ทองคล้องใจ”

ความคิดเยี่ยงนี้ ล้วน ลมๆแล้งๆทั้งสิ้น เพราะมันคือจินตนากาลของคนชอบเพ้อ ให้ความหวังตนเองฝ่ายเดียวจนลืมตัว

สุดท้ายก็มานั่งช้ำใจ มารู้ทีหลังก็ถูกพ่อนักร้องรูปหล่อ “เจาะไข่แดง” เรียบร้อยแล้ว

สังคมไทย ต้องปรับเปลี่ยนทัศนะคติตรงนี้ โดยเฉพาะวัยรุ่น ลูกผู้หญิงทั้งหลาย การรักนวลสงวนตัว นั้นสำคัญ “อย่าชิงสุกก่อนห่าม” อาตมาต้องขอย้ำเตือนทั้งหญิงและชาย “คนเราตบมือข้างเดียวไม่ดัง” คำนี้ อาตมาสอนลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดเสมอ

อย่าไปเล่นกับไฟ.... “ไฟรักคนส่วนใหญ่ บ่นว่ามันร้อน แต่ทั้งๆที่ร้อน ก็ยังแอบจุดอยู่ทุกวี่ทุกวัน”

สรุปตามความคิดส่วนตัวของอาตมา อุทาหรณ์สอนใจ ของโจรกลับใจรายนี้ ตรงกับสุภาษิตที่ว่า “ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว”

สิ่งที่จะทำให้ชีวิตของญาติโยมทั้งหลายดีขึ้นหรือเลวลง ไม่ได้เกิดจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก หากแท้ที่จริงแล้ว ล้วนแต่เกิดจากปัจจัยภายในเป็นสำคัญ
นั่นคือ เมื่อโยมทำชั่ว ชีวิตก็เป็นอัปมงคล ต่อให้เปลี่ยนเป็นนายสิริมงคล แต่หากไม่เคยเปลี่ยนแปลงจากคนชั่วเป็นคนดี การเปลี่ยนภายนอกก็ไม่ช่วยอะไร!?!
และเมื่อโยมทำดี ชีวิตก็จะเป็นสิริมงคลโดยตัวของมันเอง ไม่ว่าจะมีคนเห็นหรือไม่มีคนเห็นก็ตามที

ในทางพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสว่า มนุษย์เป็นผู้กำหนด ชะตากรรมของตนเอง เหมือนที่มีพุทธศาสนสุภาษิตว่า

“กมฺมุนา วตฺตตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามการ กระทำ”

โยมทำอย่างไร ชีวิตของโยมก็เป็นอย่างนั้น ดังหนึ่งคนก่อกำแพง ยิ่งก่อก็ยิ่งขึ้นสู่ที่สูงตามกำแพง

“คนขุดบ่อน้ำ ยิ่งขุดก็ยิ่งต่ำลงไปอยู่ในบ่อ” กล่าวให้สั้นที่สุด ชีวิตของญาติโยมทั้งหลายจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับการ กระทำทางกาย วาจา และใจของโยมนั่นเอง???

ถ้าโยมทำตัวเลว ต่อให้ปลูกไม้มงคลแก้เคล็ด ชีวิตก็คงไม่ดีขึ้น และหากโยมตั้งมั่นทำแต่คุณงามความดี ต่อให้ไม่มีไม้มงคลอยู่ในบ้านสักต้น อะไรๆในชีวิตก็ต้องดีอยู่วันยังค่ำ

จะเห็นได้ว่า คนเราเกิดมานั้นมีเกียรติและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน แต่แล้วแต่ใครจะเลือกปฏิบัติ เลือกที่จะเป็น จะเป็นคนดี คนชั่ว ญาติโยมเป็นคนกำหนดเองทั้งสิ้น 

เรื่องนี้โยมสามารถทำลายกำแพงกั้นศักยภาพของมนุษย์ตามหัวข้อที่ว่า เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เพราะโยมต้องให้เกียรติเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม!?!  ขอเจริญพร

วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2557

‘หล่อเลือกได้’ คลำไม่เจอหาง ฟาดดะ!!
สุดท้ายเจอตอ!! นางฟ้าในจินตนาการ
ปิดตำนานจอมเจ้าชู้ สาวกหลงเฟสบุ๊ค
คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม

เจริญพรญาติโยมพุทธศาสนิกชนทุกท่าน คอลัมน์จุดไฟในใจคนฉบับนี้ อาตมาขอเสนอเรื่องราวเหตุการณ์ “ศิษย์ใกล้ตัว” ที่มัวเมาหลงผิด แต่ก็มีมุมคิด ที่น่าศึกษาหาความรู้ เป็นอุทาหรณ์สอนใจให้ญาติโยมทุกท่าน สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ได้อย่างแน่นอน!!!

เรื่องมีอยู่ว่า ลูกศิษย์ของอาตมาท่านนี้ เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี กำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยชื่อดัง ของจังหวัดนครปฐม

กิจวัตรประจำวัน ของโยมท่านนี้ ชอบเล่นเฟสบุ๊คจีบสาว ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติของเด็กหนุ่มยุคปัจจุบัน และเมื่อมีการพูดคุย “ถูกใจ” ก็ต้องมีการนัดหมายเจอะเจอ เพื่อสานต่อสายสัมพันธ์อันดีงามต่อไป

สุดท้ายทั้งคู่ได้พบกัน แล้วพากันไปสถานที่นัดพบ ฝ่ายชายเมื่อได้เห็นหน้าฝ่ายหญิง -“ถึงกับผงะในความงาม”...โยมลูกศิษย์อาตมา เล่าด้วยอาการตื่นเต้น อย่างเห็นได้ชัด

จากนั้นทั้งคู่คุยกันพอสังเขป โดยนิสัยผู้ชาย ย่อมต้องการสัมผัส จับโน้นจับนี่ แล้วมาจบที่ขั้นตอนสุดท้าย???

คราวนี้ฝ่ายชายผงะซ้ำสอง ตกใจกับสิ่งที่สัมผัส เพราะเธอเป็นเพศเดียวกับโยมผู้ชาย ถึงเวลานี้เป็นใครก็ไปไม่เป็น -“ช็อค ไปชั่วขณะ” พอตั้งสติได้ ฝ่ายชายจริงๆ ต้องรีบขอลา ถึงแม้ว่าใจยังนึกเสียดายใน -“ความสวย” แต่ต้องจำใจลา เพราะผิดวัตถุประสงค์ แต่ก็ยังงง เพราะเธอเหมือนผู้หญิงทุกอย่าง แม้แต่เสียงก็เหมือน แต่พอมาเจอจุดสำคัญที่ไม่ใช่!!! หนุ่มเพลย์บอยรายนี้ ถึงกับถอยทัพ เผ่นกลับบ้านแทบไม่ทัน!!!

อุทาหรณ์ของเรื่องนี้ ชี้ชัดที่ฝ่ายชาย ด้วยความเจ้าชู้ เป็นนักรัก -“หลงใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส จนขาดสติ”

และเหตุที่อาตมา นำเรื่องนี้มาเล่าขาน ต้องการตำหนิฝ่ายชาย ที่ไม่รู้จักยับยั้งช่างใจ ไม่ละอายชั่ว กลัวบาป สนุกเกินขอบเขตคุณธรรม

ยิ่งสังคมปัจจุบันแปรเปลี่ยน คนทั่วไปต่างหลงใหลในกามตัณหา มีแต่ความเร่าร้อน “ขาดสติสัมปชัญญะ” ไปหลงกินเหยื่อ ของธรรมชาติ เป็นทาสของอวิชชา เป็นทาสของตัณหาราคะ

โยมบางท่าน ถึงกับยอมลำบาก ให้สิ่งที่เรียกว่า -“ตัณหา” โดยเฉพาะ -“กามตัณหา” นำมาเคี้ยวกินทั้งกายและใจ หลงเป็นทาส ของ -“กามตัณหา” ยอมทนลำบาก นานาประการ เพื่อจะให้ได้มา เฉพาะเรื่องเพศ เรื่องอบายมุขโดยตรง

พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า อบายมุขมี 6 อย่าง ที่เป็นหนทางแห่งความเสื่อม คือ 1.นักเลงสุรา 2.นักเลงการพนัน 3.นักเลงผู้หญิง 4.เกียจคร้านการงาน 5.คบคนพาลเป็นมิตร 6.เที่ยวกลางคืน ทั้งหมดนี้คือหนทางนำไปสู่ความหายนะ ชั่วชีวิตนี้จะหาความเจริญไม่ได้ ถ้าไม่เลิกสิ่งเหล่านี้ และที่สำคัญต้องช่วยกันเตือนสติ แต่ถ้าไม่เชื่อ คนเหล่านี้ย่อมไม่ใช่กัลยาณมิตรของโยมอย่างแน่นอน

กล่าวสำหรับเรื่องของตัณหาไม่มีคำว่า “เพื่อนหรือกัลยาณมิตร” ยกตัวอย่าง เมื่อครา พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน เมืองสาวัตถี มีมารดาและบุตร 2 คน มารดาเป็นภิกษุณี ลูกชายเป็นภิกษุ ทั้งสองใกล้ชิดกัน คลุกคลีกัน อยากเห็นกันเนืองๆ เมื่อเห็นกันเนืองๆ จึงเกิดราคะ แล้วเสพเมถุนกัน

พระพุทธองค์ทรงทราบ จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย โฆษบุรุษนั้นคิดหรือว่า มารดาจะไม่กำหนัดในบุตร หรือบุตรจะไม่กำหนัดในมารดา

ภิกษุทั้งหลาย เรามองไม่เห็นรูปอย่างอื่น แม้รูปเดียว ซึ่งจะเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด รักใคร่ มัวเมา และทำอันตราย แก่การบรรลุธรรม อันยอดเยี่ยม เหมือนรูปแห่งหญิงเลย

สัตว์ทั้งหลายกำหนัด ยินดี ใฝ่ใจ หมกมุ่น พัวพัน ในรูปหญิง เป็นผู้ตกอยู่ใต้อำนาจรูปหญิง ย่อมเศร้าโศกตลอดกาลนาน

ภิกษุทั้งหลาย หญิงเดินอยู่ก็ดี ยืน นั่ง นอน นอนหลับ หัวเราะ พูด ขับร้อง ร้องไห้ บวมขึ้น ตายแล้วก็ดี ย่อมครอบงำจิตของบุรุษได้

ภิกษุทั้งหลาย บุคคลเมื่อจะกล่าวสิ่งใดๆ พึงกล่าวโดยชอบว่า บ่วงรวบรัดแห่งมาร ก็พึงกล่าวมาตุคามนั่นแหละว่า เป็นบ่วงแห่งมารโดยชอบได้

บุคคลพึงสนทนาด้วยเพชฌฆาตก็ดี ด้วยปีศาจก็ดี พึงถูกต้องอสรพิษที่กัดตายก็ดี ก็ยังไม่ร้ายแรงเหมือนสนทนาตัวต่อตัวด้วยหญิงเลย พวกหญิงชอบผูกพันชายผู้ลุ่มหลงด้วยการมองดู การหัวเราะ การนุ่งห่มลับล่อ และการพูดจาอ่อนหวาน หญิงมิใช่ผูกพันชายเพียงเท่านี้ แม้บวมขึ้น ตายไปแล้วก็ยังผูกพันชายได้ 
กามคุณ 5 นี้ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ย่อมปรากฏในหญิง ผู้ไม่กำหนดรู้กาม ย่อมเกิดในภพน้อยใหญ่ ส่วนผู้กำหนดรู้กาม ไม่มีภัยแต่ที่ไหนๆ ย่อมข้ามฝั่งสงสารได้

ธรรมะของพระพุทธเจ้า สอนไว้เสมอ แต่ญาติโยมไม่สนใจใคร่รู้ ยิ่งทุกวันนี้สิ่งที่เป็นอุปกรณ์ทางเพศ คือความไพเราะ ความสนุกสนาน ต้องการความเอร็ดอร่อย อยากได้ ด้วยอวิชชา ทนไม่ได้กับเนื้อหนังมังสาที่ปรากฏ เพราะมันยั่วกิเลส ยั่วความอยาก บางทีมันก็ปนเป เข้ามาในใจ บางคนอยากเป็นหญิง บางคนอยากเป็นชาย อยากเป็นนั่น เป็นนี่ ที่มันไปเกี่ยวกับทางเพศ ก็มี อยากเป็นใหญ่เป็นโต อยาก มีหน้ามีตา อยากเป็นผู้มีชื่อเสียง อยากเป็นผู้มีอำนาจวาสนา

แล้วก็เกิดทุกข์ ด้วยความโง่ หลงในกิเลสตัณหา หลงใหล เคลิบเคลิ้ม อยู่ในสิ่งนั้นๆ เดือดพล่าน

กาเมสุมิจฉาจาร อันบุคคลซ่องเสพแล้ว อบรมแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อนรก เป็นไปพร้อมเพื่อกำเนิดในดิรัจฉาน เป็นไปพร้อมเพื่อวิสัยแห่งเปรต วิบากของกาเมสุมิจฉาจารอย่างเบาที่สุด เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็เป็นไปพร้อมเพื่อความเป็นผู้มีศัตรู มีเวร ไม่เป็นที่รักของคนอื่น

ที่ผ่านมาอาตมาย้ำเสมอว่า การประพฤติผิดในกาม นอกจากจะทำให้ไม่เป็นที่รักแล้ว ยังเป็นเหตุให้บาปอกุศล ที่เคยทำไว้ในอดีตได้ช่องตามมาส่งผลถึงในภพชาติปัจจุบันอีกด้วย

ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการสร้างบารมี ซึ่งกรรมบางอย่าง ที่แรงกล้ามาก ก็สามารถตามส่งผล จนถึงภพชาติสุดท้ายทีเดียว

เพราะฉะนั้น ดีที่สุดอย่าไปสร้างบาปกรรมอีก ให้ตั้งใจสั่งสมแต่กรรมดี อย่าประมาทในชีวิต เพราะถ้าประมาทพลั้งเผลอ การดำเนินชีวิตมีสิทธิ์ผิดพลาด

“สุดท้ายก็หนีไม่พ้นอบาย ไม่พ้นวิบากกรรม”

ดีที่สุดต้องปฏิบัติให้เข้าถึงพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บาปกรรมทั้งหลายจะได้ตามไม่ทัน ยิ่งถ้าหมดกิเลสก็หมดกรรม หยุดการเวียนว่ายตายเกิด สุดท้ายจะมีนิพพานเป็นที่ไปกันทุกคน!?!...ขอเจริญพร

วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2557

10 ล้าน กินแบบราชา พอ อด เหมือนหมา
บ้ากิน เที่ยว เลี้ยวลงนรก-หลวงพี่ชี้ธรรม
แล้วมึงจะอายทำไมว่ะ!! ทำตัวเองทั้งนั้น 

คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม


เจริญพรญาติโยมทุกท่าน เมื่อเร็วๆนี้โยม โทร.เข้ามามีปัญหาคาใจ อยากถามไถ่ เล่าความทุกข์ อดีตเคยมีชีวิตสุขสบาย รวยมาแต่เกิด ไม่เคยลำบาก ทางบ้านฐานะดี

จวบจนวันที่แม่ตาย ทิ้งมรดกเงิน 10 ล้านไว้ให้ ในขณะที่โยมอายุ 18 ปี ขาดประสบการณ์ ใช้เงินหมดไปกับความฟุ่มเฟือย รถ ผู้หญิง เล่นสนุ๊กฯ สนุกไปวันๆ

ซื้อมอเตอร์ไซด์ฮาร์เล่ย์ ขับโชว์สาว ตะลอนไปเรื่อย สุดท้ายมาปักหลักที่เชียงใหม่ เปิดร้านขายเสื้อผ้ามือสอง สุดท้ายไปไม่รอด เจ็งต้องเซ้งร้านทิ้ง สมบัติที่เคยมีทุกวันนี้ขายหมดไม่เหลืออะไรอีกแล้ว

ปัจจุบันโยมอายุ 30 ปี เงิน 10 ล้านก็หมด วันนี้ถือเป็นโอกาสสุดท้ายในชีวิต จึงคิดจะประกอบอาชีพใหม่อีกครั้ง ตัดสินใจจะเปิดร้าน จึงโทร.มาปรึกษาหลวงพี่ “ผมควรจะเปิดดีมั้ยครับ”

โยมเล่ามาเสียยืดยาว เรื่องราวลักษณะนี้ ถือเป็นกรณีศึกษา ที่ผ่านมาโยมเป็นคนมีโอกาสมีต้นทุนคือเงินทอง แต่ไม่สามารถรักษาทรัพย์นี้ให้งอกเงย เพิ่มพูนขึ้นมาได้

ญาติโยมทั้งหลายจงจำ คนเราเกิดมาต้องมีอาชีพ ต้องกินต้องใช้ และต้องทำทรัพย์ที่มีอยู่ให้งอก ต้องเติม ต้องเพิ่มให้ถูกจังหวะ การใช้ชีวิตของโยมโบราณเรียก “ปากถุงล้น ก้นถุงรั่ว” มีมากแต่ใช้ไม่เป็น บกพร่องในการเก็บออม

ก่อนหน้านี้โยมเป็นคนโชคดี มีแสงสว่างมากกว่าคนอื่น แต่โยมไม่รู้จักใช้ชีวิตด้วยความรอบคอบ โยมประมาทขาดหลักคิด ไตร่ตรองไม่เป็น ติดกิเลส หลงวัตถุ!!! มีทุนแต่ไม่รู้จักลงทุน ปล่อยให้วันเวลาผ่านไป หายใจทิ้งไปวันๆ แล้วโยมจะไปโทษใคร โยมต้องตั้งสติใหม่ ไม่ต้องอาย ล้างสนิมในใจใช้สมาธิพิจารณาตนเอง ทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมาว่าทำอะไรไปบ้างที่ได้ประโยชน์ และเสียประโยชน์

โยมไม่ต้องเสียเวลามานั่งโอดคราญ มันย้อนกลับมาไม่ได้อีกแล้ว อย่าไปคิดว่ามันเป็นฝันร้าย ไม่มีคำว่าสาย ถ้าคิดจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ และที่โยมบอกอาตมาว่ากินมาม่าทุกวัน ตรงนี้มันสอนให้โยมรู้ว่า เวลามีก็ไม่นึกถึงอนาคต ต่อไปนี้ถ้าหาได้เอง โยมก็จะรู้ค่าของเงิน งาน หยาดเหงื่อ แรงกาย งานคือเงิน เงินคืองาน ต้องรู้จัก ขยัน ประหยัด อดทน เห็นโทษของความฟุ่มเฟือย ทางสว่างก็เกิด โยมต้องจุดไฟให้กับตนเอง

ลุกขึ้น ยิ้มสู้ ดูคนที่เขาลำบากกว่าโยมก็มี ไม่ใช่โยมลำบากคนเดียวในโลกใบนี้ ที่สำคัญคนที่ลำบากกว่าโยม ลำบากเหมือนโยม ยังมีอีกมากมาย

อย่ามองสูง ถึงชั่วโมงนี้แล้วต้องมองต่ำ มองคนข้างหลัง ต้องคิดว่าตอนนี้โยมอยู่บนเรือ ลอยกลางทะเล แต่คนอื่นๆที่กำลังจะจมน้ำตาย ต่างตะเกียกตะกายเพื่อเอาตัวรอดอีกมากมาย

ถ้าคิดได้เยี่ยงนี้ กำลังใจจะเกิด ทำอะไรก็ได้ถ้าโยมพร้อม อย่ารอ อย่าเกี่ยง อย่าผัดวันประกันพรุ่ง

ต่อไปนี้คิดอะไรต้องรอบครอบ...เลิกได้ ก็เลิกซะ เหล้ายาปลาปิ้ง ผู้หญิงยิงเรือ หรือแม้แต่การพนัน มันหมดเวลาทำชั่วแล้ว ชั่วโมงนี้ต้องรักตัวเองให้มากที่สุด

คนเราเกิดมาล้วนต้องพบกับปัญหากันทั้งนั้น ปัญหาบางอย่างเกิดจากคนอื่นแต่ปัญหาส่วนหนึ่งและอาจจะเป็นส่วนใหญ่เกิดจากการกระทำของตนเอง

มีคนไม่น้อยที่กำลังประสบปัญหาด้านการเงินเป็นหนี้เป็นสินเมื่อเกิดปัญหาขึ้นแล้วก็ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนคิดแก้ไขปัญหาอย่างไร

บางคนหาทางออกด้วยการปล้นชิงวิ่งราว ขายยาเสพติด หรือฉ้อโกงคนอื่น บางคนฆ่าตัวตาย แต่อีกหลายๆคน สู้กับปัญหา อย่างมีสติรอบคอบมากขึ้น และไม่ย่อท้อต่อปัญหาที่เกิดขึ้น ในกรณีของโยมมาถึงวันนี้ อาจจะเรียกได้ว่ากำลังเข้าตาจน จึงทำให้คิดอยากหนีปัญหาแทนที่จะคิดแก้ปัญหา ด้วยการคิดว่าควรจะทำอะไรและไม่ควรทำอะไร

การแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นคือให้หยุดสร้างปัญหาเพิ่มขึ้น ด้วยการหยุดเล่น โยมอาจจะบอกว่าอดไม่ได้ แต่อาตมาย้ำ ต้องได้

และก็ต้องลดความฟุ่มเฟือยในเรื่องที่ไม่จำเป็นทั้งหมดทันที แล้วลองถามตัวเองว่าตัวโยมมีความสามารถพอจะทำอะไรได้บ้าง

อาจจะเป็นของกิน ของใช้ งานศิลปะ หรืออาจจะไม่มีความถนัดอะไรเลย แต่ก็ไม่เป็นไรขอแค่มีใจจะเรียนรู้ เพื่อความอยู่รอดของตัวเองก็เกินพอแล้ว

ทุกอย่างสามารถเรียนรู้กันได้ ถ้าเช่าห้องพักที่มีราคาสูง ก็ให้พยายามหาที่ใหม่ ที่ราคาถูกลง อาจจะไม่สะดวกสบายเท่าที่เก่า แต่ก็ประหยัดเงินไปได้ไม่น้อย ในสถานการณ์แบบนี้

อาหารการกินที่เคยซื้อเขากิน ลองหัดทำกินเองบ้าง จะได้ประหยัด บ้างบ้านพอมีที่ว่างก็หาผักมาปลูก แรกๆ อาจจะไม่อร่อยถูกปากนัก แต่ก็ให้ท่องไว้ว่าตอนนี้ โยมกินเพื่ออยู่เท่านั้น

ของใช้บางอย่างที่มีราคาสูงก็หาของที่มีราคาถูกกว่ามาใช้แทนไป อะไรไม่จำเป็นต้องใช้ก็เปลี่ยนเป็นเงินไปเสียบ้าง พยายามจำกัดการใช้เงินในแต่ละวันของโยมให้น้อยที่สุดและใช้ให้ได้ในวงเงินที่โยมจำกัดไว้

พยายามท่องไว้ว่า "อย่าอายทำกิน อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา" ตอนนี้งานอะไรที่พอหาได้ก็ให้ทำไปก่อน เพื่อจะได้มีเงินมาหมุนเวียนใช้จ่าย อย่ารีรอที่จะทำ วาสนาไม่เคยตกมาในมือใครโดยที่ไม่ต้องทำอะไร ความพยายามเท่านั้นจะช่วยให้เรามีวาสนาขึ้นมาได้

ข้อสำคัญจงจำไว้ว่าอย่าเป็นหนี้เพิ่มมากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะในวันนี้โยมยังไม่มีเงินจะใช้ไปยืมเขามาแล้ว จะเอาที่ไหนมาใช้หนี้เขา แต่ถ้ามองแล้วว่ามีหนทางที่จะทำให้งอกเงยขึ้นมาได้จริง นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่อย่าคิดเอาเองว่า เอามาก่อนลองทำก่อน ยังไงมันต้องสำเร็จ คิดแค่นี้พลาดท่ากลายเป็นหนี้ท่วมตัว ต้องหนีหัวซุกหัวซุนมามากแล้ว อย่าประมาทในทุกสถานการณ์และทุกลมหายใจ

อย่างน้อยถ้าทำตามคำแนะนำนี้ ก็จะทำให้โยมมีชีวิตรอด อยู่ได้อย่างไม่ลำบากมากนัก จนกว่าจะมีโอกาสที่ดีกว่านี้เข้ามาในมือ

เมื่อไหร่ที่สามารถพาตัวเองออกไปจากจุดนี้ได้แล้ว ขอให้จำไว้เป็นบทเรียน เพื่อที่วันหน้าจะไม่ต้องกลับมาเผชิญปัญหานี้อีก เพราะถึงเวลานั้นโยมอาจจะพาตัวเองขึ้นจากหล่มแห่งปัญหานี้ไม่ได้แบบคราวนี้ก็เป็นได้

สติจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยนำทางให้โยมก้าวไปสู่การแก้ไขปัญหาที่ดี อย่าโทษนั่น โทษนี่ว่าทำให้ชีวิตโยมต้องเป็นแบบนี้ “เพราะทุกอย่างมันเกิดจากตัวโยมเองทั้งนั้น” ไม่มีใครมาจับมือโยมให้ทำได้ ไม่มีใครมาสั่งให้โยมคิดได้

ฉะนั้นแทนที่จะโทษอย่างอื่น เอาเวลาตรงนั้นมาแก้ไขปัญหาที่มันเกิดขึ้นมาแล้ว จะดีกว่าจงจำไว้ว่า ความหวังจะเกิดเป็นความจริงได้จากตัวโยมเองนั่นล่ะ!!!... ขอเจริญพร

ยกย่อง!! หญิงเหล็ก ‘ยอดกตัญญูกตเวที’
‘ภรรยา’ ผู้เสียสละต่อ ‘สามี’และครอบครัว
ขยัน ซื่อสัตย์ อดทน รู้บุญคุณคน ‘มิเสื่อมคลาย’ 
คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม


เจริญพรญาติโยมทุกท่าน อาตมาเขียนคอลัมน์ “จุดไฟในใจคน” ท่ามกลางอากาศร้อนระอุ แต่ในความอบอ้าวนี้ ยังมีอีกหนึ่งชีวิต ที่ฝ่าความทุกข์ระทมมานานหลายปี “ไม่เคยปริปากบ่น” แม้สักครั้งเดียว

อาตมาขอยกย่องชื่นชมให้โยมเป็น “หญิงเหล็ก ยอดนักสู้ผู้กล้าแกร่ง” และสำหรับเหตุการณ์จริงเรื่องนี้มีอยู่ว่า โยมเป็นคน อ.บางเลน จ.นครปฐม มีโอกาสมาแต่งงานกับหนุ่มในอำเภอเมืองนครปฐม เข้าไปอยู่ในบ้านครอบครัวสามี ด้วยความเป็นคนดี ขยันมุมานะทำงานทุกอย่างในบ้าน ด้วยความหมั่นเพียรไม่นิ่งดูดาย ในฐานะสะใภ้ ย่อมต้องช่วยงานในบ้านเป็นธรรมดา

ครอบครัวสามี ทำอาชีพเหล็กดัด โยมก็เข้าไปช่วยงาน เพื่อแบ่งเบาภาระสามี

ส่วนสามี เมื่อวันเวลาผันผ่าน งานการเริ่มไม่ทำ ทิ้งให้ภรรยาทำหน้าที่แทน ส่วนตนก็ออกไปกินเที่ยวนอกบ้าน ไม่สนใจการงาน ปล่อยให้ภรรยาทำทั้งหมด

“กลายเป็นภาระ ความกดดัน เป็นปมปัญหาภายในครอบครัว ส่งผลให้ทั้งคู่ต้องเลิกรา”

โยมตัดสินใจ อุ้มลูกสาวทั้งสามพร้อมหลานอีกสองคน ออกจากบ้าน เริ่มต้นชีวิตใหม่ ลงทุนรับงานทำเหล็กดัด กัดฟันต่อสู้ทำมาหากิน “เลี้ยงลูก”

ถึงแม้โยมจะออกมาจากบ้านสามีแล้ว แต่ก็ไม่ทิ้งครอบครัวสามี ยังคงไปช่วยดูแล พ่อแม่สามี อุดหนุนจุนเจือ สามีและลูกหลาน ไม่เคยขาด

ส่วนอาชีพงานเหล็กดัดอย่างเดียวนั้น เงินที่หามาได้ เริ่มไม่พอเลี้ยงลูก โยมจึงต้องหางานเพิ่ม ด้วยการเปิดบริษัทรับเหมาก่อสร้าง เพื่อปรับคุณภาพชีวิตตนเองและลูกหลานให้อยู่รอด

รวมถึงนำรายได้ที่เพิ่มขึ้น ไปช่วยครอบครัวสามี เพราะทางบ้านสามี ยังมีคนเจ็บไข้ได้ป่วยให้ต้องดูแลรักษา ต้องใช้เงินมากมาย ในการล้างไต แต่โยมก็ไม่ทิ้ง โอบอุ้มช่วยเหลือมาโดยตลอด

ปัจจุบันโยมเลิกกับสามีมานานนับสิบปี แต่ก็ทำงานทุกวัน เลี้ยงลูกหลานทุกคนเสมอต้นเสมอปลาย หาเงินได้มาเท่าไหร่ ใช้จ่ายกับการดูแลคนทั้งสองบ้านจนหมดสิ้น

สิ่งที่อาตมาเห็นจากโยมท่านนี้ก็คือ ความกตัญญูกตเวที ที่มีต่อสามีและพ่อแม่สามี อย่างลึกซึ้งกินใจ ไม่เสื่อมคลาย ถ้าเป็นภาษาวัยรุ่นยุคปัจจุบัน ต้องบอกว่า ดีโคตรๆ

มีน้ำใจที่ประเสริฐ อุ้มชูด้วยใจบริสุทธิ์ ไม่หวังผลตอบแทน นับเป็นสิ่งที่มีคุณค่ายิ่ง ถ้าญาติโยมท่านใด ทำได้เยี่ยงนี้ ถือเป็นบุญมหาศาล

อาตมามีความเชื่อว่า วันหนึ่งข้างหน้า ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นกับโยม และเป็นความสำเร็จที่เกิดขึ้นเปรียบเหมือนฟ้าหลังฝนอันแสนสดใส

หลังจากที่โยมถูกมรสุมชีวิตโหมกระหน่ำมาหลายปี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวิตในการงาน การเงิน ครอบครัวที่อยู่ในช่วงขาลง โยมทำงานหนักมีภาระรับผิดชอบเพิ่มขึ้นมากมาย ขณะที่ก็มีปัญหาหนี้สินหลักล้าน จนต้องขายทุกสิ่งทุกอย่างแทบหมดตัว แต่แล้วในที่สุดก็สามารถผ่านพ้นอุปสรรคมาได้อย่างงดงาม ด้วยความเป็น “ผู้หญิงใจสู้”

ส่งผลให้วันนี้ชีวิตของโยม กำลังจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดี ถึงแม้วันนี้ยังทำงานแทบไม่ได้หยุด แต่ก็ถือเป็นเรื่องดี หลังจากที่ผ่านช่วงที่ยากลำบากของชีวิตมาแล้ว นับเป็นบุญของโยม ที่ได้เจอปัญหาหนัก ๆ และสามารถผ่านมาได้ โยมเป็นคนโชคดี มีบุญ คนบางคนไม่รู้อะไรเลย บางทีรู้ต่อเมื่อลงโลงแล้วด้วยซ้ำ

ดังนั้นการที่โยมรู้เร็ว แปลว่า โยมมีบุญ จึงคิดได้เร็ว เหมือนพระพุทธเจ้าอยากให้รู้จักชีวิตเร็วขึ้น ว่าการต่อสู้ฝ่าฟันกับความยากลำบากนั้น ต้องทำอย่างไร โชคดีที่เจอเรื่องทั้งร้ายและดีมามาก ทำให้เป็นคนคิดไวกว่าคนที่อายุใกล้กัน ในขณะที่บางคนอายุมาก อาจจะยังคิดไม่ได้เลยด้วยซ้ำ มาคิดได้ก็ตอนจะถอดสายน้ำเกลือ ซึ่งสายเกินไป

อาตมาขอแนะนำสำหรับคนที่เพิ่งได้พบกับอุปสรรคหนักหนาในชีวิต ไม่ว่าจะต้องพบกับอุปสรรคหนักหนาขนาดไหน ต่อให้เป็นเรื่องลบที่สุดในชีวิต จงมองทุกอย่างเป็นบวก ในที่สุดพลังบวกจะสร้างสิ่งดี ๆ ให้กับญาติโยมทุกท่าน

และต่อให้วันนี้โยมพบกับเรื่องที่ไม่ดี แต่นั่นก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ดี ซึ่งจะทำให้พรุ่งนี้โยมทำชีวิตให้ดีขึ้นได้

ญาติโยมทุกท่าน ควรมองความผิดพลาดต่าง ๆ ในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัวที่มีปัญหามาก่อน เรื่องการทำงาน หรือแม้กระทั้งเรื่องความรัก ทุกอย่าง ทุกก้าว ทุกคำพูด คือประสบการณ์

วันนี้โยมอาจจะเข้าใจในเรื่องชีวิตคู่ ผ่านประสบการณ์มามาก แต่อนาคตย่อมดีขึ้นแน่นอน เพราะยังมีอีกหลายชีวิตคู่ที่ล้มเหลวมาก ๆ ในขณะนี้

โยมใช้ชีวิตอยู่กับความจริง ยอมรับความจริง โยมก็จะไม่ทุกข์ ดีกว่าไม่รู้แล้วก็ทุกข์ไปเรื่อย ๆ โดยหาทางออกไม่เจอ สู้ยอมเจ็บหนัก ๆ ทีเดียว แล้วเรียนรู้สิ่งที่ถูกต้องดีกว่า ถ้าโยมยังไม่รู้จักยอมรับความจริง โยมคงไม่มีวันนี้

พระพุทธองค์สอนให้อยู่กับตัวเอง อยู่กับสติ เมื่อมีสติ ไม่มีใครทำร้ายเราได้ อยู่กับปัจจุบันให้เป็น นี่คือหลักธรรมะง่าย ๆ ที่ญาติโยมทุกท่าน ควรนำมาใช้

จะทำอะไรก็แล้วแต่ ให้คิดก่อน ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับสติ

สุดท้ายนี้อาตมาขอฝากไปยังญาติโยมทุกท่าน ทุกชีวิต ควรอยู่กับความเป็นจริง ถึงทุกอย่างจะเริ่มจากความฝัน แต่ก็อย่าอยู่กับความฝันมากเกินไปจนมองไม่เห็นว่าความจริงคืออะไร มีความเป็นไปได้แค่ไหน

อย่าไปยึดติดกับความฝัน แต่ควรตั้งเป้าเอาไว้ให้ชัดเจน “จงทำตัวเป็นแก้วใส น้ำต้องไม่เต็มแก้วมากนัก แล้วก็ไม่ต้องรู้มาก เพราะคนที่รู้มากสุดท้ายก็ไม่รู้อะไรเลย” ควรเป็นคนที่พร้อมจะเรียนรู้ และอยากที่จะรู้อยู่ตลอดเวลา

ควรมีความภูมิใจ ที่ได้ดูแลครอบครัว ได้เห็นญาติพี่น้อง อยู่สบาย มีความสุข

ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่โยมควรภูมิใจกับชีวิต ณ ปัจจุบัน ส่วนวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรต่อไป ความทุ่มเทของโยม จะเป็นตัวบอกอนาคตได้อย่างชัดเจน แน่นอน!?!...ขอเจริญพร

วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2557

คุณป้า หัวใจว้าวุ่น ออกอาการ ‘หลง อยาก’
‘ปิ๊งรัก’ นักร้องหนุ่มร้านอาหารคาเฟ่
โยมทุกข์เศร้า โหยหา ต้องการสัมผัส!?!

คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม


เจริญพรญาติโยมทุกท่าน จุดไฟในใจคน ฉบับนี้ อาตมานำเรื่อง ความหลง ของสาวใหญ่ อุทาหรณ์สอนใจ ประสบการณ์ตรง จากโยมทางบ้าน เมื่อรักแล้วย่อมมีทุกข์เป็นเงาตามติด มีคิดถึง โหยหา อยากได้ใคร่มี อยากเป็นเจ้าของตลอดเวลา เพียงผู้เดียว!!!

พลันที่รายการคิดไม่ออกบอกหลวงพี่น้ำฝน ทางช่อง 5 จบลง โทรศัพท์สายนี้ก็เข้ามา เป็นเสียงโยมสุภาพสตรี เล่าถึงเหตุที่ไม่สบายใจ ด้วยวัย 53 ปี สามีตาย มีลูกชาย 1 คน

ปัจจุบันค้าขาย รายได้ดี เหลือกินเหลือใช้ ดำเนินชีวิตสบายๆ แสวงหาความสุขตามอัตภาพ และสถานบันเทิงของคนวัยนี้ หนีไม่พ้น สวนอาหาร ใกล้บ้าน มีนักร้องมาขับกล่อมบรรเลง กินดื่มสุขใจ ฟังเพลงสบายอารมณ์

จากนั้นโยมก็ติดใจ ไปบ่อยครั้ง เพราะชื่นชอบนักร้องชายนิสัยดี เอาใจเก่ง เสียงไพเราะ ร้องเพลงออดอ้อนหวานๆ ทำให้คนแก่ตื่นเต้นหัวใจว้าวุ่น กลายเป็นความอยาก มากไปด้วยความต้องการ???

และแล้วพระเอกในฝันก็ปรากฏตัว เขาคือนักร้องหนุ่มใหญ่วัย 48 ปี หุ่นดีรูปงาม ร้องเพลงดีเอาใจเก่งขนาดนี้ ก็ต้องมีมาลัย ให้เป็นสินน้ำใจ ติดแบงก์ให้ด้วยความรักใคร่เอ็นดูเมตตา ได้กอดได้หอมแก้มก็แสนสุขใจ

เมื่อมีความสุขก็โหยหา อยากพบหน้าทุกวัน ตามที่ใจปรารถนาเรียกร้อง!!! ทุกวันอาทิตย์ต้องไป แต่เพื่อนสาวส่วนใหญ่ต่างก็เตือน คอยห้ามปราม แต่โยมไม่เชื่อฟัง ยืนยันความบริสุทธิ์ใจ เพราะกำลังหลงรักอย่างสุดหัวใจ เอาช้างมาฉุดก็ไม่อยู่ ที่สำคัญลงทุนไปเยอะ....

พอสนิทกันมากขึ้น นักร้องหนุ่มเริ่มขอยืมสตางค์ “แต่เขาก็นิสัยดีนะคะหลวงพี่ เขาผ่อนใช้ตามกำหนดทุกครั้ง”

จนถึงวันนี้โยมคิดว่า มันเป็นความรักฉันเพื่อน ฉันพี่น้อง ปรองดองสัมพันธ์ช่วยเหลือเจือจาน ไม่เคยเกินเลย แค่สัมผัสภายนอก โยมก็รู้สึกพอใจ อุ่นใจ

แต่ที่โยมโทร.มาถามหลวงพี่วันนี้ เพราะรู้สึกถึงความทุกข์ เวลาที่คิดถึง อยากเจออยากเห็นหน้าตลอดเวลา แต่ก็ทำได้เพียง อาทิตย์ละสองสามครั้งเท่านั้น

อยากให้หลวงพี่ช่วยหาทางออกให้ที ทำอย่างไรจึงจะคลายความคิดถึงลงได้

“ญาติโยมทุกท่าน จงจำไว้ให้ดี ความรัก หรือ กรรม ทำให้คนตาบอด”

โยมเคยถามตัวเองไหมว่า “ทำไมฉันจึงรักเธอ” เมื่อเริ่มต้นรู้สึกว่ารักใครสักคน บางครั้งมันอาจเป็นรักแรกพบ บางครั้งมันอาจจะเป็นความรักที่เกิดขึ้นโดยที่เราไม่ทันตั้งตัว รู้อีกทีก็รักเขาเข้าแล้ว

ในยามโยมมีความสุข อาจไม่สนใจอยากหาคำตอบมากมายว่า“ทำไมฉันจึงรักเธอ”เพราะเมื่อใดที่เรามีความสุขโดยมากเรารู้สึกพอใจความรู้สึกพอทำให้ไม่ได้คิดค้นอยากหาข้อเสีย หรือคิดคำถามให้ต้องหาคำตอบ

เมื่อเวลาทุกข์ เสียใจ บางคนก็อาจมีคำถามขึ้นมาว่า ทำไมฉันจึงรักเธอหรือฉันรักเธอไปได้ยังไง เพราะเธอนั้น หน้าตาก็ไม่หล่อเหมือน เคน ธีรเดช ไม่ได้รวยเหมือน บิล เกตส์ แถมยังช่างใจร้ายใจดำ ทำกันได้ลง และอื่นๆมากมาย ผุดขึ้นมาในเวลาโกรธ แต่ก็ยังไม่พบคำตอบอยู่ดี 

ในทางพุทธศาสนา เราเชื่อว่าอะไรใดๆ ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ การที่เราจะได้เป็นคู่รัก และครองคู่กับใครนั้นย่อมมีเหตุ

เหตุที่ทำให้เราไปหลงรักเขา ก็มาจากกรรมเก่าที่เคยร่วมทำกันมา และจะคบหายืนยาวอยู่ได้ด้วยร้ายด้วยดีต่อๆไปนั้น มาจากกรรมที่ทำเอาไว้ในปัจจุบัน จะคบแล้วมีความสุข หรือทุกข์ เป็นผลของกรรม ซึ่งสะท้อนสิ่งที่ผู้รับผลนั้นกระทำมาก่อนทั้งอดีตชาติ และชาติปัจจุบันทั้งสิ้น!!!

ดังนั้นหากมีความทุกข์จากรักขึ้นมา ถ้าจะถามว่าทำไมเราต้องมาทุกข์ใจกับคนๆนี้ ก็ต้องตอบว่า มันเป็นผลมาจากกรรมที่คนทั้งสอง ได้ทำร่วมกัน และที่โยมทำมา กรรมเก่าพาโยมลงมาติดกับดัก

กรรมมันเริ่มส่งผลตั้งแต่วันแรกที่ใจโยมเข้าไปผูกกับเขา กรรมส่งผลที่ใจให้มารัก ให้มาหลง บังตาไว้ไม่ให้เห็นความสมเหตุสมผลทั้งหลาย หรือรู้ทั้งรู้ก็ยังรัก ถูกดูดเข้าไปใช้กรรม

ที่อาตมาว่าความรักทำให้คนตาบอดต้องกล่าวให้เป็นธรรมขึ้นว่า “กรรมบังตา” คือกรรมบังคับใจให้ไปรู้สึกติดใจ ชอบ ใช่ รัก ผูกพันกับคนที่จะนำโยมไปรับผลที่โยมเคยก่อไว้ทั้งดีและร้ายนั่นเอง

เริ่มตั้งแต่ต้นที่จะรู้สึกดีกับใคร ก็กรรมกำหนด ที่จะไปได้เจอกันในเวลาที่แสนจะพอดี อย่างไรก็กรรมกำหนด

กรรมจัดฉากไว้ให้ต้องไปเจอ และรู้สึกไปอย่างนั้น จนกระทั่งจิตส่งออก ทะยานออกไปเกาะเกี่ยวยึดไว้

หลงไปยึดเอาว่าของโยม คนของโยม ไปแปะป้ายว่า นี่เป็นคนที่โยมต้องการ นี่เป็นแฟนโยม ต้องดีกับโยม ห้ามไปดีกับคนอื่น

พอเชื่อใจ คลายความคลางแคลง มั่นใจว่าใช่แน่ๆ มอบทุกอย่างให้หมด อาจจะแต่งหรือไม่แต่งก็สุดแท้แต่ ก็จะถึงเวลาที่ของจริงส่งผล แสดงตัวจริงของจริงให้เห็น ใจก็ “จี๊ด” ขึ้นมาจนกระทั่งต้องไปถาม...

อาจจะเริ่มด้วยการถามเพื่อน หรือไม่ก็ไปถามเจ้าคู่กรณี ว่าเดิมไม่ใช่อย่างนี้ ทำไมเปลี่ยนไป ที่รับปากไว้ ที่สัญญาไว้ ทำไมไม่ทำ

ปรับโทษ อาละวาด ตีโพยตีพาย นี่กรรมทั้งนั้น ซึ่งไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน ถ้ายังมีความเห็นยึดมั่นว่า ความรู้สึกเป็นโยม ความคิดนี้เป็นของโยม ก็จะเชื่อความรู้สึกและความคิด โดยจะหลง คิดไปเองแต่แรกว่าเขาคนนั้นต้องดีอย่างนั้นอย่างนี้ คือมีใจพร้อมจะเชื่อไปก่อนอยู่แล้ว พอเขาพูดโน่นพูดนี่นิดหน่อยก็ทึกทักเอาเองว่าต้องใช่อย่างนั้น อย่างที่ใจขอมา

แน่นอน โยมจึงพร้อมทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้อยู่ใกล้ เป็นคู่ มีความสัมพันธ์ หลงรักคนที่ในอนาคตต่อไปจะรวมน้ำใจโยม ซึ่งเป็นผลจากการที่โยมเชื่อความรู้สึกและความคิดไปเองว่าเป็น “ของเรา” 

ความจริง เขาไม่ได้เป็นอย่างที่โยมคิด เป็นโยมที่เข้าใจผิดไปเชื่อใจที่สั่งมาเอง แต่กว่าจะถึงตอนนั้น แทนที่จะรู้ตัว เห็นตามจริงว่าเป็นโยมที่คิดไปเอง ก็กลายเป็นโทษกันระหว่างสองฝ่ายไปแทนว่าไม่รักษาสัจจะวาจาที่เคยมีให้กันสมัยความหลงยังครอบงำอยู่ และสร้างกรรมใหม่ต่อกันไปอีกโดยไม่ได้ใช้หนี้กรรมเก่า เป็นกงกรรมกงเกวียน หรือกฎแห่งกรรม

กฎแห่งกรรมนั้น ไม่เคยไม่เที่ยงตรง สร้างเหตุไว้อย่างไร ย่อมได้รับผลเช่นนั้นแน่นอน!?! .....ขอเจริญพร

เมียมีแล้ว ไม่วาย อยากลองของแปลก
ปล่อยใจ ใช้ชีวิต ‘ระเริงตัณหา ราคะ’
ดวงตาพร่ามัว เห็นกงจักร เป็นดอกบัว
คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม

เจริญพรญาติโยมทุกท่าน จุดไฟในใจคน ฉบับนี้อาตมานำเสนอ ซีกหนึ่งของชีวิตลูกศิษย์ท่านหนึ่ง โยมเล่าขานประสบการณ์จริง จากปาก ยอมรับสภาพความเป็นสาวประเภทสอง ที่อยากมีชีวิตเหมือนหญิงทั่วไป

ตัดสินใจทำศัลยกรรมหลายครา เพื่อให้ใบหน้า ร่างกาย เหมือนกับสาว ยันทำทุกอย่าง… เมื่อความงามบรรเจิด ชีวิตเปลี่ยน จากเย้ยหยันกลายเป็นคำชม

แน่นอนเมื่อรูปเปลี่ยน เรื่องชายหนุ่ม ย่อมมีเข้ามา แต่การเข้ามาล้วนหลากช่อง ทั้งจากสถานบันเทิง ท้องถนน และที่นิยมสุดคือโซเชียลมีเดีย ทางสะดวกและง่ายต่อการหาคู่

การดำเนินชีวิต มีประเด็นน่าสนใจ โยมเอ่ยถึงชายที่มีภรรยาแล้ว

จากนั้นก็เข้ามาขอหลับนอน เพราะอยากลองของแปลก โลกของโซเชียลมีเดีย ต้องอาศัยพื้นที่ ไม่ห่างไกลกันนัก

ฉะนั้นจึงมีการนัดพบ เพื่อหลับนอน เขาเป็นชายอายุ 36 ปี ดูดีมากๆ ตามอุดมคติ

โยมตัดสินใจนอนกับเขา ด้วยความตื่นเต้นและท้าทาย

ฝ่ายชายมีความต้องการเป็นอย่างมาก ยืนยัน “เมียทำไม่ได้แบบนี้”

เมื่อสนองกันเรียบร้อยแล้ว ติดใจ เริ่มนัดเจอบ่อยขึ้น จากนั้นเริ่มมีข้อเสนอ “ออกมานะ พี่ให้ 2000” โยมเลยไม่รอช้า ตกลงเขาไป เพราะอยากได้เงินไปทำสวยเพิ่ม เป็นการต่อทุน

หลังจากวันนั้นก็มักจะทักทาย และชวนออกมาเจอกันอยู่บ่อยๆ ทานข้าวกันบ้าง ขับรถเที่ยวกันบ้าง แต่ทุกครั้งต้องสนอง เขามีความต้องการสูง ส่วนโยมต้องการเงินจึงเป็นการแลกเปลี่ยนกันไป

ตั้งแต่วันแรกที่โยมได้พบกับพี่เขา จนถึงวันนี้ เป็นเวลา 4 เดือน นี่คือคำสารภาพจากสาวประเภทสอง ที่แฉความนัย ถามหลวงพี่ว่าผิดหรือไม่ ที่ทั้งคู่มีพฤติกรรมเยี่ยงนี้

อาตมาตอบ ใครๆ ก็รู้ว่าการละเมิดพฤติกรรมทางเพศ นอกใจผัวหรือเมีย ด้วยการ มีกิ๊ก มีชู้ เป็นสิ่งไม่ดี แต่กระนั้นคนก็ยังพากันละเมิดและสร้างปัญหาไม่รู้จบ

ปัญหามือที่ 3 ในสังคมไทย สาเหตุที่คนชอบมีกิ๊กมีชู้ ในความเห็นส่วนตัวอาตมา คิดว่าเกิดจากปัจจัยหลักๆคือขาดความละอายชั่วกลัวบาป ขาดสติสัมปชัญญะ อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย

ที่สำคัญได้รับอิทธิพลตะวันตก มองการมีเพศสัมพันธ์ หรือนอกใจคนรักเป็นสิทธิส่วนบุคคล และเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆ เขาก็ทำกัน

รวมถึงพลังทางศีลธรรมในสังคมไทยอ่อนแอ โดยเฉพาะความเชื่อในระบบ ทำดีได้ดี หรือทำชั่วได้ชั่ว หรือกฎแห่งกรรม มีความจืดจางลงไปมาก ในทัศนะของอาตมา ปัจจัยทั้งหมดนี้คือต้นเหตุ ทำให้การละเมิดจริยธรรมทางเพศมีมากขึ้น และกลายเป็นเรื่องธรรมดาในสังคมไทย

ลำพังแค่การคิดนอกใจเมียถือว่าไม่ผิด แต่ถือว่าไม่ควร ไม่ผิดเพราะยังไม่มีการลงมือ แต่ไม่ควรเพราะการคิดเป็นจุดเริ่มต้นของพฤติกรรม คนเราทำเพราะว่าเราคิด โยมคิดอย่างไรโยมก็จะทำอย่างนั้น

ฉะนั้นเมื่อโยมเริ่มมีความคิด แนวโน้มที่จะละเมิดมันได้เกิดขึ้นแล้วในใจของโยม ทันทีที่คิด โยมต้องรู้เท่าทัน และพาตัวเองออกมาจากสภาพความคิดเช่นนั้นให้ได้

ผู้ที่ละเมิดจริยธรรมทางเพศต่อคู่ครองและคู่รักของตนนั้น ย่อมได้รับผลกรรมแน่นอน เฉกเช่น ผลทางจิตใจคือทุกข์ ผลต่อตัวตนเป็นวัวสันหลังหวะ ผลต่อครอบครัว ร้าวฉาน แตกแยก และหย่าร้างในที่สุด ผลทางสังคมถูกนินทา โพนทะนา เสื่อมเสียทั้งชีวิต มีผลทางการงาน อาจถูกบริษัทเรียก ไปถึงขั้นไล่ออก
ฉะนั้นอาตมาฟันธงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถือว่าผิดทั้งคู่ ผิดมาก เพราะขาดจิตสำนึก ก่อนคิดนอกใจ ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ หมิ่นเหม่ละเมิดจริยธรรมทางเพศ เพราะว่าเด็กมันยั่ว หรือว่าใจตรงกัน หรือสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยก็ตาม

ถ้าโยมกำลังยืนอยู่ในหัวเลี้ยวหัวต่อ เท้าของโยมข้างหนึ่งเหยียบอยู่ในนรก ข้างหนึ่งเหยียบอยู่บนสวรรค์ ขอให้ถามตัวเองก่อนว่า

พร้อมที่จะยอมรับผลที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นไหม ถามตัวเองว่ามั่นใจไหมว่า สิ่งที่โยมจะกระทำนั้นเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ทุกขั้นตอน ถามตัวเองว่าโยมพร้อมไหมที่จะรับผลกรรมซึ่งจะตามมาหลังจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นปัจจุบัน อนาคตหรือแม้กระทั่งในภพหน้า


ความลับไม่มีในโลก พร้อมหรือไม่ ถ้าหากลูกเมีย เกิดรู้ว่าโยมคบคิดทรยศต่อเมีย โยมพร้อมที่จะเสื่อมเสียชื่อเสียงและเกียรติคุณที่สั่งสมมาตลอดชีวิตหรือไม่

เตือนไว้ ณ จุดนี้ รีบวางมือ ไตร่ตรองมองตน อย่าสูญเสียสามัญสำนึก สูญเสียเงิน สูญเสียเมีย สูญเสียงาน สุดท้ายคือได้สูญเสียความชอบธรรม ที่จะเป็นมนุษย์ที่ดีกับเขาไปแล้ว

สาเหตุสุดท้ายในมุมมองของอาตมา ที่สถาบันครอบครัว มีปัญหาแตกแยกหย่าร้างสูง เนื่องมาจาก คนเราขาดคุณสมบัติ ขาดความซื่อสัตย์ จริงใจต่อกัน

ห้วงแรกรักต่างก็รักและภักดีต่อกัน พอมาเป็นสถาบันครอบครัว ความรักนั้นจืดจางลงไปตามวันเวลา

ต่างฝ่ายต่างมีเรื่องซ่อนเร้นระหว่างกัน แทนที่จะรักเดียวใจเดียว ก็เป็นรักคนเดียว แต่ว่ามีคนอื่นสำรองเอาไว้

มนุษย์เรานั้นทันทีที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อกัน เค้าลางแห่งความหายนะมันก็เริ่มต้น


ขาดความอดทน ที่จะร่วมสุขร่วมทุกข์ด้วยกัน พอแต่งงานอยู่กินด้วยกัน แล้วมีปัญหาชีวิตคู่ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่เกิดจากสาเหตุใดก็ตาม อยู่ร่วมกันแล้วมีแต่ความทุกข์ มีแต่ปัญหา มีแต่ความยุ่งเหยิงวุ่นวายใจ ซึ่งในขณะที่ใช้ชีวิตโสดไม่เป็นอย่างนั้นก็เริ่มรับไม่ได้ พอรับไม่ได้ แล้วสั่งสมเกินขีดอดทน สุดท้ายก็เลิกร้างห่างเหินกันไป ต่างคนต่างไปทางใครทางมัน


ขาดการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วพอมีปัญหาแทนที่จะยืดหยุ่น แทนที่จะมีการปรับตัว แทนที่จะมีการให้โอกาส

ต่างฝ่ายต่างก็ถือเอาอัตตาหรือตัวตนของตัวเองเป็นใหญ่ ไม่ยอมเรียนรู้ไม่ยอมฟังกัน เมื่อไม่ยอมยืดหยุ่น ต่างคนก็ต้องต่างไป ทางใครทางมันเช่นเดียวกัน

ขาดการเข้าใจในการสื่อสารระหว่างกันและกัน เมื่อปัญหา ไม่ยอมเจรจาสันติภาพ ใช้วิธีนิ่ง ใช้วิธีนินทา ใช้วิธีสร้างโลกของตัวเองซ้อนขึ้นมาในโลกของครอบครัว เมื่อไม่สื่อสารกัน ปัญหาก็ยังคงเป็นปัญหา

สุดท้ายเมื่อเหตุการณ์รุนแรงถึงที่สุด ก็ต้องเลิกรากันไป หลายคนที่เลิกร้างกันไป ไม่ใช่หมายความว่าไม่รักกัน แต่ขาดการเจรจาหรือขาดการสื่อสารที่ดีระหว่างกัน

ฉะนั้นใครก็ตามอยู่กันเป็นครอบครัว ควรจะนำหลักธรรมดังกล่าวไปลองประยุกต์ใช้ในชีวิตให้มากที่สุด ดวงตาอย่าพร่ามัว “อย่าเห็นกงจักร เป็นดอกบัว”

หลักธรรมนี้เปรียบเสมือนน้ำ น้ำนั้นทำทุกอย่างเชื่อมหลอมรวมทุกสิ่งทุกอย่างเข้าด้วยกัน

ฉันใด หลักธรรมมะก็เชื่อมคนในครอบครัวให้อยู่ด้วยกันอย่างสนิมสนมกลมเกลียวด้วยกันฉันนั้น 

ขอเจริญพรเจริญพรญาติโยมทุกท่าน จุดไฟในใจคน ฉบับนี้อาตมานำเสนอ ซีกหนึ่งของชีวิตลูกศิษย์ท่านหนึ่ง โยมเล่าขานประสบการณ์จริง จากปาก ยอมรับสภาพความเป็นสาวประเภทสอง ที่อยากมีชีวิตเหมือนหญิงทั่วไป
ตัดสินใจทำศัลยกรรมหลายครา เพื่อให้ใบหน้า ร่างกาย เหมือนกับสาว ยันทำทุกอย่าง… เมื่อความงามบรรเจิด ชีวิตเปลี่ยน จากเย้ยหยันกลายเป็นคำชม

แน่นอนเมื่อรูปเปลี่ยน เรื่องชายหนุ่ม ย่อมมีเข้ามา แต่การเข้ามาล้วนหลากช่อง ทั้งจากสถานบันเทิง ท้องถนน และที่นิยมสุดคือโซเชียลมีเดีย ทางสะดวกและง่ายต่อการหาคู่

การดำเนินชีวิต มีประเด็นน่าสนใจ โยมเอ่ยถึงชายที่มีภรรยาแล้ว

จากนั้นก็เข้ามาขอหลับนอน เพราะอยากลองของแปลก โลกของโซเชียลมีเดีย ต้องอาศัยพื้นที่ ไม่ห่างไกลกันนัก

ฉะนั้นจึงมีการนัดพบ เพื่อหลับนอน เขาเป็นชายอายุ 36 ปี ดูดีมากๆ ตามอุดมคติ

โยมตัดสินใจนอนกับเขา ด้วยความตื่นเต้นและท้าทาย

ฝ่ายชายมีความต้องการเป็นอย่างมาก ยืนยัน “เมียทำไม่ได้แบบนี้”

เมื่อสนองกันเรียบร้อยแล้ว ติดใจ เริ่มนัดเจอบ่อยขึ้น จากนั้นเริ่มมีข้อเสนอ “ออกมานะ พี่ให้ 2000” โยมเลยไม่รอช้า ตกลงเขาไป เพราะอยากได้เงินไปทำสวยเพิ่ม เป็นการต่อทุน

หลังจากวันนั้นก็มักจะทักทาย และชวนออกมาเจอกันอยู่บ่อยๆ ทานข้าวกันบ้าง ขับรถเที่ยวกันบ้าง แต่ทุกครั้งต้องสนอง เขามีความต้องการสูง ส่วนโยมต้องการเงินจึงเป็นการแลกเปลี่ยนกันไป

ตั้งแต่วันแรกที่โยมได้พบกับพี่เขา จนถึงวันนี้ เป็นเวลา 4 เดือน นี่คือคำสารภาพจากสาวประเภทสอง ที่แฉความนัย ถามหลวงพี่ว่าผิดหรือไม่ ที่ทั้งคู่มีพฤติกรรมเยี่ยงนี้

อาตมาตอบ ใครๆ ก็รู้ว่าการละเมิดพฤติกรรมทางเพศ นอกใจผัวหรือเมีย ด้วยการ มีกิ๊ก มีชู้ เป็นสิ่งไม่ดี แต่กระนั้นคนก็ยังพากันละเมิดและสร้างปัญหาไม่รู้จบ

ปัญหามือที่ 3 ในสังคมไทย สาเหตุที่คนชอบมีกิ๊กมีชู้ ในความเห็นส่วนตัวอาตมา คิดว่าเกิดจากปัจจัยหลักๆคือขาดความละอายชั่วกลัวบาป ขาดสติสัมปชัญญะ อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย

ที่สำคัญได้รับอิทธิพลตะวันตก มองการมีเพศสัมพันธ์ หรือนอกใจคนรักเป็นสิทธิส่วนบุคคล และเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆ เขาก็ทำกัน

รวมถึงพลังทางศีลธรรมในสังคมไทยอ่อนแอ โดยเฉพาะความเชื่อในระบบ ทำดีได้ดี หรือทำชั่วได้ชั่ว หรือกฎแห่งกรรม มีความจืดจางลงไปมาก ในทัศนะของอาตมา ปัจจัยทั้งหมดนี้คือต้นเหตุ ทำให้การละเมิดจริยธรรมทางเพศมีมากขึ้น และกลายเป็นเรื่องธรรมดาในสังคมไทย

ลำพังแค่การคิดนอกใจเมียถือว่าไม่ผิด แต่ถือว่าไม่ควร ไม่ผิดเพราะยังไม่มีการลงมือ แต่ไม่ควรเพราะการคิดเป็นจุดเริ่มต้นของพฤติกรรม คนเราทำเพราะว่าเราคิด โยมคิดอย่างไรโยมก็จะทำอย่างนั้น

ฉะนั้นเมื่อโยมเริ่มมีความคิด แนวโน้มที่จะละเมิดมันได้เกิดขึ้นแล้วในใจของโยม ทันทีที่คิด โยมต้องรู้เท่าทัน และพาตัวเองออกมาจากสภาพความคิดเช่นนั้นให้ได้

ผู้ที่ละเมิดจริยธรรมทางเพศต่อคู่ครองและคู่รักของตนนั้น ย่อมได้รับผลกรรมแน่นอน เฉกเช่น ผลทางจิตใจคือทุกข์ ผลต่อตัวตนเป็นวัวสันหลังหวะ ผลต่อครอบครัว ร้าวฉาน แตกแยก และหย่าร้างในที่สุด ผลทางสังคมถูกนินทา โพนทะนา เสื่อมเสียทั้งชีวิต มีผลทางการงาน อาจถูกบริษัทเรียก ไปถึงขั้นไล่ออก

ฉะนั้นอาตมาฟันธงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถือว่าผิดทั้งคู่ ผิดมาก เพราะขาดจิตสำนึก ก่อนคิดนอกใจ ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ หมิ่นเหม่ละเมิดจริยธรรมทางเพศ เพราะว่าเด็กมันยั่ว หรือว่าใจตรงกัน หรือสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยก็ตาม

ถ้าโยมกำลังยืนอยู่ในหัวเลี้ยวหัวต่อ เท้าของโยมข้างหนึ่งเหยียบอยู่ในนรก ข้างหนึ่งเหยียบอยู่บนสวรรค์ ขอให้ถามตัวเองก่อนว่า

พร้อมที่จะยอมรับผลที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นไหม ถามตัวเองว่ามั่นใจไหมว่า สิ่งที่โยมจะกระทำนั้นเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ทุกขั้นตอน ถามตัวเองว่าโยมพร้อมไหมที่จะรับผลกรรมซึ่งจะตามมาหลังจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นปัจจุบัน อนาคตหรือแม้กระทั่งในภพหน้า

ความลับไม่มีในโลก พร้อมหรือไม่ ถ้าหากลูกเมีย เกิดรู้ว่าโยมคบคิดทรยศต่อเมีย โยมพร้อมที่จะเสื่อมเสียชื่อเสียงและเกียรติคุณที่สั่งสมมาตลอดชีวิตหรือไม่

เตือนไว้ ณ จุดนี้ รีบวางมือ ไตร่ตรองมองตน อย่าสูญเสียสามัญสำนึก สูญเสียเงิน สูญเสียเมีย สูญเสียงาน สุดท้ายคือได้สูญเสียความชอบธรรม ที่จะเป็นมนุษย์ที่ดีกับเขาไปแล้ว

สาเหตุสุดท้ายในมุมมองของอาตมา ที่สถาบันครอบครัว มีปัญหาแตกแยกหย่าร้างสูง เนื่องมาจาก คนเราขาดคุณสมบัติ ขาดความซื่อสัตย์ จริงใจต่อกัน

ห้วงแรกรักต่างก็รักและภักดีต่อกัน พอมาเป็นสถาบันครอบครัว ความรักนั้นจืดจางลงไปตามวันเวลา

ต่างฝ่ายต่างมีเรื่องซ่อนเร้นระหว่างกัน แทนที่จะรักเดียวใจเดียว ก็เป็นรักคนเดียว แต่ว่ามีคนอื่นสำรองเอาไว้

มนุษย์เรานั้นทันทีที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อกัน เค้าลางแห่งความหายนะมันก็เริ่มต้น

ขาดความอดทน ที่จะร่วมสุขร่วมทุกข์ด้วยกัน พอแต่งงานอยู่กินด้วยกัน แล้วมีปัญหาชีวิตคู่ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่เกิดจากสาเหตุใดก็ตาม อยู่ร่วมกันแล้วมีแต่ความทุกข์ มีแต่ปัญหา มีแต่ความยุ่งเหยิงวุ่นวายใจ ซึ่งในขณะที่ใช้ชีวิตโสดไม่เป็นอย่างนั้นก็เริ่มรับไม่ได้ พอรับไม่ได้ แล้วสั่งสมเกินขีดอดทน สุดท้ายก็เลิกร้างห่างเหินกันไป ต่างคนต่างไปทางใครทางมัน

ขาดการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วพอมีปัญหาแทนที่จะยืดหยุ่น แทนที่จะมีการปรับตัว แทนที่จะมีการให้โอกาส

ต่างฝ่ายต่างก็ถือเอาอัตตาหรือตัวตนของตัวเองเป็นใหญ่ ไม่ยอมเรียนรู้ไม่ยอมฟังกัน เมื่อไม่ยอมยืดหยุ่น ต่างคนก็ต้องต่างไป ทางใครทางมันเช่นเดียวกัน


ขาดการเข้าใจในการสื่อสารระหว่างกันและกัน เมื่อปัญหา ไม่ยอมเจรจาสันติภาพ ใช้วิธีนิ่ง ใช้วิธีนินทา ใช้วิธีสร้างโลกของตัวเองซ้อนขึ้นมาในโลกของครอบครัว เมื่อไม่สื่อสารกัน ปัญหาก็ยังคงเป็นปัญหา

สุดท้ายเมื่อเหตุการณ์รุนแรงถึงที่สุด ก็ต้องเลิกรากันไป หลายคนที่เลิกร้างกันไป ไม่ใช่หมายความว่าไม่รักกัน แต่ขาดการเจรจาหรือขาดการสื่อสารที่ดีระหว่างกัน

ฉะนั้นใครก็ตามอยู่กันเป็นครอบครัว ควรจะนำหลักธรรมดังกล่าวไปลองประยุกต์ใช้ในชีวิตให้มากที่สุด ดวงตาอย่าพร่ามัว “อย่าเห็นกงจักร เป็นดอกบัว”

หลักธรรมนี้เปรียบเสมือนน้ำ น้ำนั้นทำทุกอย่างเชื่อมหลอมรวมทุกสิ่งทุกอย่างเข้าด้วยกัน

ฉันใด หลักธรรมมะก็เชื่อมคนในครอบครัวให้อยู่ด้วยกันอย่างสนิมสนมกลมเกลียวด้วยกันฉันนั้น .... ขอเจริญพร


พิธีขอขมากรรม ส่งท้ายปีเก่ารับพรปีใหม่

บทความที่ได้รับความนิยม