ร่วมบูชาวัตถุมงคล วัดไผ่ล้อม นครปฐม

วันเสาร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2557

เกลียดแม่มีชู้ - ทิ้งหนูไว้กับพ่อ
แค้นไม่เผาผี!! หลวงพี่ปลุกจิต
ตระหนักคิดให้ดี ใครเบ่งออกมา
คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม

เจริญพรญาติโยมทุกท่าน จุดไฟในใจคนฉบับนี้ มีโยมสีกาท่านหนึ่งโทร.เข้ามา หลังชม รายการคิดไม่ออกบอกหลวงพี่น้ำฝน จบ!

โยมบอก เครียด กลุ้ม ไม่สบายใจ โกรธเกลียดแม่มาก อาตมาถามเรื่องอะไร ทำไมถึงเกลียดแม่


แม่หนูไปมีชู้ นอกใจพ่อ มีผู้ชายคนใหม่ หนูรับไม่ได้กับการกระทำของแม่ รู้สึกมันเป็นตราบาปในชีวิต ทำไมต้องลิขิตให้เกิดขึ้นกับหนู

ในความรู้สึกของหนูพ่อผิดอะไร ทั้งๆที่พ่อก็เป็นคนดี ดูแลแม่ไม่บกพร่อง อยู่อย่างมีความสุข แม่กับพ่อไม่เคยทะเลาะกัน ฐานะทางบ้านอยู่ในขั้นปานกลาง ไม่ได้ลำบากอะไร แต่ทำไมแม่ถึงทำกับพ่อได้ขนาดนี้

ทุกวันเห็นพ่อเศร้า ไม่เป็นอันกินอันนอน ยิ่งทำให้หนูเกลียดแม่มากขึ้น สงสารพ่อ รู้สึกโกรธแทนพ่อ


ถึงแม้วันนี้ทั้งคู่หย่าขาดจากกันแล้ว ความรู้สึกไม่ดีก็ยังมีอยู่ หนูตั้งใจว่าถ้าแม่ตาย จะไม่ไปเผาผี นี่คือความคิดของลูกสาว อาตมาฟังเรื่องทั้งหมด รู้สึกสลดใจ ในอคติ

ก่อนอื่น ต้องถามลูก ใครเบ่งเราออกมา ด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส ตลอด 9 เดือนสุดทรมาน พอคลอดออกมา เลี้ยงดูในยามที่เป็นทารก แม่ไม่ได้หลับไม่ได้นอน ต้องอาบน้ำอาบท่า ดูแลทำให้สารพัด

พอเริ่มโตขึ้นมา พาไปเข้าโรงเรียน ส่งจนจบ ทำงานทำการ ก็หนีไม่พ้นคนเป็นแม่

ถึงแม่จะทิ้งไป โดยไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ แต่ท่านก็มีความผิดเป็นของท่านอยู่แล้ว ยิ่งเอาแต่ความสุขความสบาย ไปเป็นชู้กับชายใหม่ ที่ไม่ใช่พ่อของหนู นี่ก็ผิดศีลกาเมฯ เข้าไปอีก ท่านบาปเต็มตัวของท่านอยู่แล้ว

ส่วนที่ท่านมีเรื่องกับพ่อหนู จะทะเลาะเบาะแว้งอะไรกัน เป็นเรื่องระหว่างท่านกับพ่อของเราเท่านั้น

สำหรับตัวเรา หลวงพี่อยากฝากแง่คิด เวลาเรามองพ่อแม่ ขอให้มองอย่างนี้ สัตว์โลกเวลาจะเกิด มีความจำเป็นต้องมีต้นแบบ สมมติว่า เรามีก้อนดินเหนียว ถ้าเราได้แบบพิมพ์เป็นรูปถ้วย เอาก้อนดินเหนียวอัดเข้าไปในแบบพิมพ์ เราก็ได้ถ้วยมาใช้

ถ้าได้แบบพิมพ์เป็นชาม เราก็ได้ชามมาใช้ มีแบบพิมพ์เป็นตุ๊กตา เอาดินอัดเข้าไปในแบบพิมพ์ตุ๊กตา เราก็ได้ตุ๊กตาไว้ดูเล่น ถ้าเราได้แบบพิมพ์ที่เป็นพระพุทธรูป เอาดินเหนียวอัดเข้าไปในแบบพิมพ์พระพุทธรูป เราก็ได้พระพุทธรูปมากราบไหว้บูชา

ดินเหนียวก้อนเดียวกัน เมื่อได้แบบพิมพ์ไม่เหมือนกัน ดินก้อนนั้นมีค่าไม่เท่ากัน ถ้าไม่มีแบบเลย ดินก้อนนั้นเป็นแค่ดินเละๆ ไม่มีค่าอะไร

คนมาเกิด ต้องมีต้นแบบ ถ้าได้ต้นแบบพ่อแม่เป็นวัวควาย ลูกมาเกิดก็ต้องเป็นวัวเป็นควาย

ถ้าต้นแบบพ่อแม่เป็นลิง ลูกก็เป็นลิง ถ้าต้นแบบเป็นคน ลูกก็เป็นคน

ถามตัวเองก็แล้วกันว่า เราที่มีความฉลาดปราดเปรื่อง ด้วยบุญแต่ชาติปางก่อนอย่างนี้ ถ้าตอนเกิดไปเข้าท้องลิง พอคลอดออกมาจากท้องแม่ร้องเสียงเจี๊ยกๆ เป็นลิงออกมา แล้วเราจะทำอะไรได้แค่ไหน

แม่ที่ไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ ท่านก็มีความผิดเป็นของท่านอยู่แล้ว

หรือถามตัวเองอย่างนี้ว่า ถ้าเปรียบเทียบระหว่างการเกิดมากับพ่อแม่ที่เป็นคน แล้วพ่อแม่ไม่เลี้ยง ปล่อยให้เติบโตอยู่ในโรงเลี้ยงเด็กอนาถา กับเกิดมาได้พ่อแม่ที่เป็นลิง และเลี้ยงดูเราซึ่งเป็นลูกลิงมาอย่างดีจนโต อย่างไหนจะมีค่ากว่ากัน

เกิดเป็นลิงเอาไหมล่ะ? เราก็ไม่เอา เพราะอะไร เพราะว่ารูปร่างของเราที่เป็นคนเป็นรูปร่างที่เหมาะแก่การทำความดีได้ทุกรูปแบบ จะให้ทาน จะรักษาศีล หรือนั่งสมาธิภาวนา เราก็ทำได้ทั้งนั้น

แต่พอรูปร่างเป็นสัตว์แล้วทำความดีอะไรก็ไม่ได้ ที่ฉลาดเฉลียวอย่างพวกเราน่ะ ถ้าได้รูปร่างเป็นลิงร้องเจี๊ยกๆ อยู่ในป่า ทำความดีอะไรไม่ได้เลย

ฉลาดแบบลิง เป็นลิงจ่าฝูง พาพรรคพวกห้อยโหนโจนทะยาน ทำอะไรไม่ได้

หรือฉลาดอย่างพอได้รูปร่างเป็นเต่าคลานงุ่มง่าม ถามว่าจะไปทำอะไรได้ ก็ฉลาดไป อย่างมากก็เป็นเต่าที่ฉลาดที่สุดในโลก แต่ก็เป็นได้แค่เต่าเท่านั้น

เมื่อได้เกิดเป็นลูกคน พ่อและแม่ท่านจะเลี้ยงหรือไม่เลี้ยงก็ช่าง จงขอบคุณท่านที่อุตส่าห์ให้ต้นแบบที่เป็นคน

ส่วนที่เลี้ยงให้โตมานี่ล่ะ เป็นบุญคุณส่วนเกินที่แถมให้เป็นพิเศษเสียด้วยซ้ำ ยิ่งมีสมบัติทิ้งไว้สัก 10 ล้าน 20 ล้าน หรือ 100 ล้าน ยิ่งเป็นบุญคุณล้นเหลือ

แค่เพียงท่านให้ต้นแบบที่เป็นคนมานี้ ตลอดชาติก็ตอบแทนไม่หมดแล้ว เพราะฉะนั้นอย่าไปเกลียดหรือไปทำอะไรให้ท่านเสียใจ มันเป็นบาปอย่างมหันต์นะลูกๆทั้งหลาย

สุดท้ายนี้ขอฝากไปยังลูกๆและพ่อแม่ทุกคน ควรมีเหตุผล รู้จริง พระพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง ความเห็นถูก ภาษาพระเรียก สัมมาทิฐิ คือความเห็นถูก เข้าใจถูก

หลักเหตุและผลที่พระพุทธเจ้าสอน คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มีผลบังคับต่อทุกสรรพชีวิตในโลก ส่งผลในทางดี มีประโยชน์แก่ชีวิต

ทรงสอนให้มองการณ์ไกล เพราะชีวิตต้องดำเนินต่อไปอีกยาวนาน จากชาตินี้สู่ชาติหน้า จนกว่าจะกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้สำเร็จ

ดังนั้นทุกจังหวะชีวิต ตัดสินใจทำอะไร ไม่ทำอะไร ดำเนินชีวิตไปสู่จุดไหน จำเป็นต้องคิดและชั่งน้ำหนักให้ดีถึงผลดีผลเสียของการกระทำ

สิ่งที่ควรทำคือยอมรับและแก้ไข ทำใหม่ให้ดีกว่าเดิม อย่าให้ผิดพลาด โยมเป็นผู้ลิขิตชีวิตที่ดีให้แก่ตนเองได้ พ่อแม่ ต้องเป็นตัวอย่างที่ดี ย่อมมีค่ากว่าคำสอนที่ดี

ต้องฝึกเป็นคนรู้จักให้ ให้ทาน ให้อภัย ฝึกความเคารพ เคารพพ่อแม่ ครูอาจารย์ เป็นเรื่องจำเป็น ต้องรีบสอนรีบทำให้เป็น เพราะเป็นทางไหลมาแห่งคุณความดีในตัว ฝึกมองผลกรรมในอนาคต ส่งผลไปถึงชาติหน้า ละโลกไปแล้วยังส่งว่าจะไปนรกหรือสวรรค์ พอได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ยังตามมาเป็นที่พึ่งให้เราอีก ตามมาเป็นพวกพ้องได้อีก เป็นโปรแกรมชีวิตให้อีก

หากโยมมองเห็นภาพรวมชีวิตเฉกเช่นนี้แล้ว ย่อมมองเห็นเส้นทางชีวิตอันยาวไกล ทุกสิ่งที่ทำให้แก่ตนเองในแต่ละวัน ตั้งแต่เช้าจรดเข้านอน ควรประกอบเหตุเช่นไรเพื่อผลในอนาคตอย่างไร

ทุกอย่างในอนาคตเป็นไปได้ตามศักยภาพของโยม ต้องลิขิตเอง เลือกเองและลงมือทำเองแล้ว ในที่สุดความเป็นคนมีเหตุมีผล ไม่เป็นคนเชื่อง่าย ไม่ถือมงคลตื่นข่าว สร้างงานเป็น สร้างเงินเป็น สร้างคนเป็น ก็จะเกิดขึ้น

ด้วยเหตุที่โยมได้ทำความดีมาจนคุ้นชิน และได้ศึกษากฎแห่งกรรมจนเข้าใจอย่างถ่องแท้นั่นเอง...ขอเจริญพร

วันพุธที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2557

จุดไฟในใจ ‘คนดูแล ผู้ป่วย - ผู้สูงวัย’
ปฏิบัติอย่างไร? ไม่ให้ทะลุกลางปล้อง
ภาวนาคุณธรรม - ธรรมปกติของพุทธเจ้า

คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม

เจริญพรญาติโยมทุกท่าน จุดไฟในใจคน ฉบับนี้อาตมานำเรื่อง การดูแลผู้ป่วย ผู้สูงวัย เพื่อให้แง่คิด ในการปฏิบัติต่อญาติของเรา อย่างสุข คลายเครียด หมดความกังวลไม่ ทะลุกลางปล้อง อีกต่อไป

ชนวนเรื่องนี้เกิดที่โรงพยาบาลนครปฐม นิมนต์อาตมาไปพูดเรื่องนี้ มีผู้ฟังก็คือญาติที่ดูแลผู้ป่วย ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในสภาพ เครียด อาตมาเริ่มด้วยการดึงสติจาก จิตส่ายออก ให้กลับมา ฉุกคิดถึงคำว่า คุณธรรม ย้ำเตือนสติ

การดูแลผู้ป่วยถ้าไม่มีคุณธรรม ย่อมทำได้พักเดียว เดี๋ยวก็เบื่อหน่าย ท้อแท้

นี่คือสาเหตุที่อาตมานำเรื่องนี้มาพูด และพูดให้โยมเห็นภาพความจริง เนื่องเพราะเหตุการณ์เฉกเช่นนี้ เคยเกิดขึ้นกับอาตมา ในห้วงที่มีโอกาสได้ดูแล พระเดชพระคุณหลวงพ่อพูล คราท่านอาพาธ

คนทุกคนหนีไม่พ้นหลักธรรมแห่งการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย

เมื่ออาตมาเริ่มบวชเป็นพระ ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อพูล ตั้งแต่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ดูแลตอนที่ท่านแข็งแรง จวบจนอ่อนแรง เห็นการเปลี่ยนแปลงโดยตลอด

พอวันเวลาผันผ่านไป สิ่งที่อาตมาต้องเผชิญ คือการเจ็บป่วยของหลวงพ่อ ซึ่งท่านก็หนีไม่พ้นเช่นกัน ฉะนั้นการป่วย จึงเป็นหัวข้อที่สำคัญ ที่สุดในชีวิตมนุษย์

พอพระเดชพระคุณหลวงพ่อป่วย ต้องไปปรึกษาแพทย์ พยาบาล อาตมาอุ้มท่านไปโรงพยาบาล ด้วยความที่อาตมาเป็นคนตัวใหญ่ ก็เลยอุ้มได้สบาย

ห้วงนั้นคิดอยู่ว่า จิตสำคัญ ถามว่าสำคัญตรงไหน ตรงหัวใจระลึกนึกถึงท่านอยู่ตลอดเวลา ด้วยความ “ความกตัญญูกตเวที” ทำให้อาตมาสามารถช่วยเหลือท่านด้วยความสุขใจ และไม่ว่าใคร ที่มีพระคุณ เป็นพ่อแม่หรือญาติพี่น้อง ถ้าเรามีความกตัญญูกตเวที ขยัน ซื่อสัตย์ อดทน รู้บุญคุณคน จะทำให้เรามีกำลังใจ ช่วยเหลือท่าน ซึ่งเป็นผู้ป่วยที่ต้องดูแล และสามารถปฏิบัติได้เป็นอย่างดี

ส่วนการรักษาพยาบาล ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคุณหมอ

และที่อาตมาจะสอนพวกโยม คือเรื่องผู้ป่วยปัสสาวะอุจจาระออกมา โยมต้องมีจิตนึกกลับไปว่า ถ้าโยมมาเป็นอย่างนี้บ้าง จะมีใครมาทำให้โยมอย่างนี้รึเปล่า ญาติโยมลองนึกดู

เหตุการณ์เช่นนี้ เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องประสบ ทำไมโบราณถึงสอนว่า คนเราต้องมีลูกมาสืบเชื้อสายวงศ์ตระกูล เพื่อคอยดูแลยามแก่เฒ่า สังเกตได้เลย มนุษย์ส่วนใหญ่คิดแบบนี้เหมือนกันหมด

แต่บางคนที่ได้รับตรงนี้มา ไม่ทำตามปณิธาน เห็นพ่อแม่ป่วยก็ปล่อยปะระเลยไม่สนใจ จนท่านกลายเป็นคนที่ไร้ญาติ

อาตมาถึงได้บอกว่า ถ้าเรามีใจที่จะกตัญญูกตเวที อาตมาคิดว่าทุกคนต้องช่วยดูแลท่านจนหมดลมหายใจ

อาตมาเคยผ่านเหตุการณ์เช่นนั้นมาแล้ว แค่ลำพังหาปัจจัยมารักษาท่านรวม ๆแล้ว 10ล้านบาท อาตมาจะไปหาที่ไหน แต่อาตมาคิดอย่างเดียวว่า ท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่ให้แสงสว่างนำทางชีวิตเรา ต้องดูแลท่านจนถึงสิ้นสุดของชีวิต

อาตมาเห็นท่านจนหมดทุกอย่าง ทุกลมหายใจ

น้ำตา ที่เรากั้นเอาไว้ไม่ได้ ด้วยความที่อาตมาเคยดูแลท่านมาตลอดเวลาไม่เคยห่างกัน ไม่ว่าใครถึงวันนั้นจริงๆ ต้องพบกับคำว่าสิ้นสุด เป็นวัฎจักรชีวิต ครบถ้วนสมบรูณ์แบบ คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ประโยคนี้ พระสงฆ์ส่วนใหญ่ มักจะเทศน์ให้ญาติโยมฟังเสมอ

หัวใจสำคัญอาตมาไม่อยากให้ญาติโยมเบื่อหน่ายกับการดูแลผู้ป่วย ให้นึกไว้อย่างเดียว ความกตัญญูกตเวที

มีเหตุการณ์หนึ่งที่อาตมาจะเล่าให้ญาติโยมฟัง เป็นเรื่องของของโยมผู้หญิงท่านหนึ่ง อาตมาเรียกท่าน “รองพิกุล” เป็นรองผู้อำนวยการสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งในจังหวัดนครปฐม

อยู่มาวันหนึ่ง “รองพิกุล” มาหาอาตมาที่วัด บอกญาติเสียชีวิต อาตมาก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร ช่วยเหลือกันไปตามมีตามเกิด

จนวันหนึ่งมีโอกาสได้พบกัน ท่านเล่าให้ฟัง โยมคนที่ตายนะไม่ใช่ญาติ แต่เป็นแฟนที่ป่วยเป็นอัมพฤต เมื่อหลายปีก่อน อดีตเขาเป็นสัสดีไปนำตัวทหารเกณฑ์ที่หนีทหารเพื่อมามอบตัว กลับเข้าสู่กรมกอง ที่จังหวัดพิษณุโลก พอได้ตัวแล้วนำขึ้นรถประจำทางกลับไปส่ง ปรากฏรถเกิดอุบัติเหตุทำให้ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แต่รองพิกุลดูแลอย่างดี ไม่ทอดทิ้ง

เพื่อนๆ พูดว่าไปดูแลทำไม ญาติก็ไม่ใช่ แต่ท่านบอกไม่ได้หรอก ฉันสงสารเขาและที่ฉันดูแลเขา ไม่ได้คิดว่าเป็นแฟนหรือว่าอะไร ดูแลด้วยจิตใจที่สงสารจริงๆ

ถ้า “รองพิกุล”ไม่มีจิตคิดสงสาร ป่านนี้โยมผู้ชาย ก็คงจะตายไปนานแล้ว

ญาติโยมทุกท่าน จงจำไว้เลยว่า คนที่เป็นผู้ป่วยเขาต้องการคนดูแล

ยกตัวอย่างหลวงพี่เอง ก็เป็นบาหวาน แต่มีลูกศิษย์ลูกหาคอยถามคอยดูแล แค่นี้หลวงพี่ก็มีความสุข

พระเดชพระคุณหลวงพ่อพูลก็เหมือนกัน เมื่อก่อนหลวงพี่ดูแลท่านตลอด คอยป้อนข้าวป้อนยา บางทีอาตมามีกิจจำเป็นต้องไปทำ ให้คนอื่นมาดูแลแทน ปรากฏว่าข้าวท่านไม่ยอมฉัน เป็นความใกล้ชิด เป็นความผูกพัน ที่ตัดกันไม่ได้!!!

เหมือนกับโยมแม่ของอาตมา ต้องดูแลท่านตลอด อยู่กุฏิห้องติดกัน เพราะดูแลง่าย เวลาไปโรงพยาบาล อาตมาให้เด็กพาไป แล้วกลับมารายงาน

โยมแม่อยากไปไหน ก็ให้ท่านไป เพราะท่านไปแล้วมีความสุข อาตมาก็มีความสุข และสิ่งที่ไม่สนับสนุน ญาติโยมที่พ่อแม่ตาย แล้วไปเคาะโลงศพเรียกมากินข้าวกินน้ำ ทำอย่างนี้ไม่ถูกต้อง

ท่านคงคิดในใจ “ตอนกูอยู่ ไม่ให้กิน แถมดุด่าว่ากล่าว พอกูตายทำมาสนใจใยดี” แล้วจะมีประโยชน์อะไร???


ส่วนอีกจำพวกหนึ่ง พอมีครอบครัว ทิ้งพ่อทิ้งแม่ไม่ดูแลสนใจ ไม่ไปเยี่ยมไปหา นานๆจะไปเสียที ทิ้งเงินให้บ้าง

ถามว่าท่านอยากได้เงินหรือไม่ จริงๆแล้วท่านไม่อยากหรอก ท่านอยากได้การดูแลเอาใจใส่มากกว่า เพราะอย่างนี้ อาตมาถึงต้องเอาโยมแม่มาอยู่ใกล้ๆ คอยดูแลท่านด้วยความกตัญญูกตเวที ตามที่โบราณกล่าวไว้ “ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว” กายรับใช้ใจ ถ้ารักษาใจได้แล้ว ก็นับว่าประเสริฐ

เพราะฉะนั้นต้องปลงใจให้ได้ กายเป็นเรื่องของแพทย์ ไม่ต้องไปกังวล มาดูแลรักษาจิตไว้ ด้วยวิธีมีสติ สติเป็นเหมือนเชือก เอาเชือกผูกใจไว้ ไม่ให้ดิ้น เหมือนลิงอยู่ไม่สุข

พระพุทธเจ้าสอน ให้จับลิงคือจิตนี้ เอาเชือกผูกไว้กับหลัก หลักคืออะไร หลักก็คือสิ่งที่ดีงาม

เมื่อจิตไม่ฟุ้งซ่าน ไม่เลื่อนลอย ไม่สับสนวุ่นวาย

นำมาผูกไว้กับสิ่งที่ดีงามตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ภาวนาคำว่า “คุณธรรม” เพราะคำว่า “คุณธรรม” นี้ เป็นคำดีงาม คุณ +ธรรม คือคุณงามความดีที่เป็นธรรมชาติ เป็นความบริสุทธิ์ แสดงถึงปัญญา ความรู้ ความเข้าใจ ความตื่น ความเบิกบาน รู้สังขาร รู้โลก ตื่นจากความหลับใหล ไม่ลุ่มหลงมัวเมายึดติด จิตโปร่งใส

อาตมาขอส่งเสริมกำลังใจให้โยมทุกท่าน ได้มีจิตใจที่สงบ มีจิตใจที่แน่วแน่ผูกรวมอยู่กับคำว่าคุณธรรม ตลอดเวลา และขอให้ทุกท่าน ที่กำลังดูแลญาติที่เจ็บป่วยอยู่ในขณะนี้ จงประสบแต่ความสุขความเจริญ ทั่วกันทุกท่านทุกคนเทอญ....ขอเจริญพร

พิธีขอขมากรรม ส่งท้ายปีเก่ารับพรปีใหม่

บทความที่ได้รับความนิยม