ร่วมบูชาวัตถุมงคล วัดไผ่ล้อม นครปฐม

วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2557

โยมผู้มีพระคุณ ล้มป่วย จิตตก กังวล สับสนใจ!!!
จุดประกาย “เกิด แก่ เจ็บ ตาย” รวย จน หนีไม่พ้น
วิบากกรรมย้ำ “เร่งสะสม บุญ ให้ทาน สานบารมี”

คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม

เจริญพรญาติโยมทุกท่าน เมื่อเร็วๆนี้ อาตมาไปเยี่ยมลูกศิษย์ ซึ่งป่วย รักษาตัวอยู่ที่บ้าน ก่อนหน้านี้ โยมหายเงียบ เก็บตัวติดต่อไม่ได้

สุดท้ายทราบข่าวป่วยหนัก อาตมารีบไปเยี่ยมถามไถ่ทุกข์สุข ในฐานะญาติสนิทที่ไม่เคยลืมเลือน

อาตมาไปเยี่ยมเมื่อวันจันทร์ที่ 3 มีนาคม 2557 ที่บ้านพักย่าน มหาวิทยาลัยรามคำแหง 2 เขตบางนา พร้อมโยมนกน้อย บริพันธ์ ชัยภูมิ และโยมลอร์ด สยม สังวริบุตร
พอเห็นตกใจกับการเปลี่ยนแปลง จากที่เคยเแข็งแรง หน้าตาสดใส ร่าเริง บัดนี้หน้าตาซีดเซียว หน้าตอกผอมลง ขาทั้งสองข้างบวมใหญ่ อย่างเห็นได้ชัด

โยมบอกรู้ว่าเป็นโรคมะเร็ง ตอนช่วงเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ช่วงแรกๆทำใจไม่ได้ ไม่อยากพบใคร ไม่กล้าบอกให้รู้ “เพื่อนพ้องน้องพี่ ญาติสนิทมิตรสหาย” ไม่ให้มาบ้าน ไม่ยอมให้มาเยี่ยม เพราะช่วงนั้นยังสบสน ฟุ้งซ่าน เครียด กังวล

บอกหลวงพี่ตามตรง “โยมจิตตก”

แต่วันนี้โอเคแล้ว พร้อมเปิดรับทุกคน เพราะเริ่มทำใจได้แล้วในระดับหนึ่ง....

อาตมาก็เลยตำหนิไปว่า เราเหมือนพี่น้องกัน เป็นเหมือนญาติสนิทมิตรสหายแท้ๆ ไม่เคยคิดเป็นอื่น และที่ผ่านมาโยมช่วยเหลืออาตมาและที่วัดไผ่ล้อม มาโดยตลอด มีอะไรทำไมไม่บอกกัน ทำอย่างนี้ไม่ถูกต้อง

จงจำไว้โยมเป็นคนใจบุญ ทั้งชีวิต อุทิศอุปถัมภ์ค้ำชูยอยกพระพุทธศาสนามาตลอด กลัวอะไรกับแค่การเจ็บไข้ได้ป่วย ทุกคนต้องเจ็บป่วย ไม่ใช่เป็นเฉพาะโยมคนเดียวเสียเมื่อไร เขาเป็นกันทั้งโลก แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านยังเคยป่วยเลย!!!

ย้อนกลับมาคิดที่ตัวโยม สร้างกรรมความดี และสะสมบุญมามากมาย โดยเฉพาะบุญที่สร้างไว้มีล้นเหลือ ไม่ต้องกลัว สิ่งที่ทำไว้ มันสูงมากพอ ที่จะมาเกราะเป็นบารมีคุ้มกันให้หายวันหายคืน ไม่เจ็บปวดอีกต่อไป

ส่วนการรักษาพยาบาลนั้น มันหยุดไม่ได้ ว่ากันไปตามวาระเหตุการณ์แห่งความจำเป็น ตามครรลองทางโลก

ในทางธรรม ต้องรักษาทางใจให้ได้เสียก่อน ถ้าลองขวัญกำลังใจมาดีแล้ว ชนะทั้งหมด ความเจ็บปวดทำอะไรโยมไม่ได้แน่นอน

“จิต สมาธิ ศีล ปัญญา คือมหากำลังใจสำคัญที่สุด”

วันนี้อาตมามาเยี่ยมโยม เพื่อต้องการมาเปิด ม่านบังตา ม่านบังใจทั้งหมด ที่โยมมีอยู่ มันประกอบด้วยความกังวล สับสน วุ่นวาย มีสนิมในใจ ต้องล้างให้สะอาด เพื่อคราบร้ายมลายหายไป

เริ่มต้นใหม่ คิดใหม่ ทำใหม่ และให้คิดว่าโรคมะเร็งร้ายคือวิบากกรรรม มันเป็นเพียงกรรมเก่า เป็นเรื่องธรรมดา ที่ทุกคนต้องมี ไม่มีใครหนีพ้นวิบากกรรม ไม่มีใครหนีพ้น การเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย

ถ้าคิดได้เยี่ยงนี้ โยมก็จะสุขใจ แต่ต้องอย่าลืมความกล้าในการเผชิญหน้า ปรับตัว เปลี่ยนแปลงให้ได้ แม้ความเครียด วิตกกังวล อาจจะเกิดขึ้นได้ก็ตาม ต้องรักษาความรู้สึกที่ดีไว้ ต้องมีความหวัง ต้องไม่ท้อถอย

จุดนี้จะทำให้ทนต่อความเจ็บปวดได้ จะสบายตัว และผ่านพ้นไปได้ อย่าโทษตัวเอง ยอมรับความเจ็บป่วยให้ได้ ปรับจิตใจ ฝึกสร้างกำลังใจให้กับตนเอง แม้จะรู้ว่าเป็นมะเร็ง แต่โยมอย่ายอมแพ้ อย่าสิ้นหวัง กล้าที่จะยอมรับความจริง และพร้อมจะยืนหยัดอยู่ต่อไป แม้เป็นไปด้วยความยากลำบากก็ตามที

แต่อาตมามีวิธีทางธรรมะ สามารถสร้างขวัญกำลังใจ ปลูกฝังให้โยมที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งขณะนี้ มีหัวใจที่ดี มีทัศนคติที่เป็นบวก

อาตมาไปเยี่ยมโยมที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งหลายราย เน้นให้ธรรมะ ในคำพูดที่สร้างกำลังใจที่ดี เพราะนั่นย่อมสร้างความคิดให้เป็นจริงได้ง่ายกว่า

การจุดไฟให้แสงสว่างในใจคนที่เป็นมะเร็ง กำลังใจ เป็นสิ่งที่ถูกต้องตรงประเด็นที่สุด เพราะกำลังใจ สามารถเป็นสะพาน เชื่อมโยงไปสู่ชัยชนะ หรือความสำเร็จได้ เป็นการกระตุ้นให้มีพลัง สร้างจินตนาการ ความฝันให้เป็นจริงได้

อาตมายึดหลักการสอนโยมผู้ป่วย ใช้ทัศนคติในทางที่ดี คือทางบวก คิดบวก ทำบวก ให้โยมฝึกปฏิเสธตนเองในสิ่งที่ไม่ดี ไม่ตามใจตนเองในการคิดสิ่งไม่ดี กระทำไม่ดี พูดไม่ดี

โยมต้องมีความเป็นตัวของตัวเอง เชื่อมั่นในความคิด ตัดสินใจเรื่องต่างๆด้วยตนเอง พยายามหลีกเลี่ยง สิ่งที่ทำให้จิตใจขุ่นมัว โดยระงับความโกรธ ความกลัว ความพยาบาท และความวิตกกังวลต่างๆ

จงจำไว้ว่าต้องร่าเริงแจ่มใสตลอดเวลา มองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขัน คิดแต่สิ่งดีๆ ที่ทำให้สบายใจ

สร้างกำลังใจจากงานที่ทำอยู่ ทำงานอย่างมีเป้าหมาย ขยันขันแข็ง รู้คุณค่าของเวลา และพอใจในตำแหน่งหน้าที่ของตน ทำจิตใจให้มั่นคง มีสติ และสมาธิอยู่เสมอ

แนวความคิดเหล่านี้ ช่วยทำให้โยมที่เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ในขณะนี้ มีกำลังใจงดงาม ทำให้เกิดเป็นทัศนคติในทางบวก เพื่อสามารถต่อสู้กับปัญหาอุปสรรค ได้อย่างราบรื่นตลอดไป

ท้ายสุดนี้ ขอฝากเรื่อง การบอกความจริงแบบเสริมกำลังใจให้คนไข้ ญาติๆอย่าสูญเสียกำลังใจ อย่าคิดแทนคนไข้

ในภาวะวิกฤตเช่นนี้ ต้องเป็นหลักยึดให้คนไข้ เพื่อต่อสู้กับมะเร็ง ญาติต้องมาช่วยรักษา เช่น ทางธรรมชาติบำบัด คุมอาหาร ออกกำลังกาย ฝึกสมาธิ เพิ่มภูมิต้านทานให้ดีขึ้น

เรียกว่า ร่วมมือร่วมใจกัน เอาชนะมะเร็ง โดยผนวกการตระหนักในความเป็นอนิจจังของสังขาร ตระเตรียมตนเองทางจิตวิญญาณ จักส่งผลดีเพื่อเข้าถึงโลกุตรธรรม อันเป็นจุดหมายปลายทางของชีวิตอีกด้วย
นัยความเป็นไปของคนป่วยหนัก ถ้าไม่ใช่เป็นผู้มีปัญญา หรือ ไม่ได้สะสมบุญไว้มาก
ย่อมจะเกิดทุกข์ทางกายและทุกข์ทางใจเป็นธรรมดา

ส่วนผู้ที่มีปัญญาและผู้ที่สะสมบุญไว้มาก ทั้งมิได้ประกอบอกุศลกรรมไว้ ย่อมไม่เกิดทุกข์ทางใจ แม้จะมีทุกข์ทางกายบ้าง

ดังนั้น ในชีวิตขณะที่ปกติ ถ้าไม่สะสมการฟัง การเห็นประโยชน์ของพระธรรมในขณะที่ป่วยหนักจะสนใจฟังพระธรรมนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะความเจ็บปวดทางกาย และจิตใจเศร้าหมอง ขาดศรัทธา การเห็นประโยชน์ก็ไม่มี


และก่อนหน้านี้เขาก็ไม่สนใจ นอกจากจะนำเสนอเพียงเรื่องเบาๆ พื้นๆทั่วไป เช่น พุทธประวัติ ชาดก เป็นต้น ก็อาจจะทำให้จิตเปลี่ยนจากความกังวลความทุกข์ได้บ้างไม่มากก็น้อย

ฉะนั้นพระธรรมคำสอน เป็นไปเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อการละคลายอกุศล เป็นไปเพื่อการดับกิเลส ดับทุกข์

เพราะฉะนั้น พระธรรม จึงเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ได้สะสมบุญมาแล้วแต่ชาติปางก่อน ส่วนผู้ที่ไม่ได้สะสมบุญย่อมไม่ได้ประโยชน์จากพระธรรม ย่อมเป็นสิ่งไม่มีค่าสำหรับเขา ซึ่งตรงกับคำว่า “ธรรม ไม่ได้สาธารณะกับทุกคน” ต้องเกื้อกูล ด้วยจิตเมตตา ปรารถนาดี หวังดีทุกเมื่อ เพราะเมตตาแล้วไม่ทุกข์ แม้ผู้นั้นไม่รับฟังคำแนะนำ แต่ถ้ารับฟัง ย่อมเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเขา และขอให้ญาติโยมทุกท่านทำหน้าที่ให้ดีที่สุด.......ขอเจริญพร


‘กามาพจร’ ผัวไม่รักดี เล่นชู้ลูกน้อง
กรรมสนอง โดนสวมเขา เข้าประตูนรก
หลวงพี่ชี้ ‘นรกขึ้น-ลง ทางเดียว คือ ทางใจ’

คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม


เจริญพรญาติโยมทุกท่าน สัปดาห์นี้อาตมานำเรื่อง กามาพจร โลกแห่งกาม ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับครอบครัวมาฝาก เหตุเกิดที่ LA อเมริกา เป็นลูกศิษย์ที่เปิดร้านอาหารไทย ขายดี มีชีวิตที่สมบูรณ์ พร้อมหน้าผัวเมียลูก แต่ไม่วายเกิดเหตุจนได้ เมื่อฝ่ายผัว เกิดอาการออกนอกลู่ แอบไปมีกิ๊กกับลูกน้องในร้าน

ด้วยเสน่ห์ที่ตรึงใจ ด้วยความใกล้ชิด ฝ่ายชายเกิดหลงรัก ไม่หักห้าม กิเลส ตัณหา ราคะ ทำตัวเป็นพ่อบุญทุ่ม ลูกน้องฝ่ายหญิงอยากได้อะไร หาให้ทุกอย่าง จวบจนความสัมพันธ์คืบหน้า เกินเยียวยา

ทั้งคู่ ลักลอบได้เสียกัน ทั้งๆที่ เมียไม่รู้เรื่อง ฝ่ายชายปล่อยใจเลยเถิด ไม่ยับยั้งชั่งใจ หน้ามืดตามัว ไม่ได้นึกถึงหน้าลูกเมีย สนุกสนานเพลิดเพลินกับของใหม่ บอกกับใจตัวเองว่า แพ้ทางเด็ก เพราะเด็กทั้งสวย ทั้งเอาใจเก่ง แต่หารู้ไม่ว่า กำลังโดนหลอกเข้าอย่างเต็มเปา ระหว่างที่แอบคบหาสมาคมกันอยู่นั้น เจ้าเด็กสาวคนนี้ ก็แอบไปมีคนใหม่ไว้เช่นกัน อย่างนี้ถ้าไม่เรียกว่ากรรมตามสนอง แล้วจะเรียกว่าอะไร!?!

พอฝ่ายชายรู้ข่าว ถึงกับกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ทุกข์ระทมในหัวใจ ประกอบกับเป็นช่วงที่อาตมา ได้มาเห็นหน้าพอดี เลยเรียกมาคุย ให้แสงสว่าง

“ถามว่าจะทุกข์เพื่ออะไร แล้วใครเป็นคนก่อ เมื่อใจโยมถวิลหาที่จะไปลงนรกก็ต้องกลับขึ้นมาเอง ทางลงทางขึ้นมีทางเดียว คือ ทางใจ”

ถ้าทำใจให้มันเศร้า มันทุกข์ มันก็เศร้า มันก็ทุกข์ ไม่มีใครช่วยได้ นอกจากช่วยตัวเอง สลัดให้หลุด ถ้าไม่หลุด จะมีผลร้ายแน่นอน

ถึงเวลานี้พอมีเวลา แก้ไขได้ทัน คนเราถ้ารู้จักสำนึกผิด สังคมยังให้อภัย ลูกเมียก็ยังให้อภัย คนเราผิดพลาดกันได้ ทุกคนวันนี้กิเลสมันมีอยู่รอบตัวเรา ถ้าโยมมองมันอย่างรู้เท่าทัน ก็ไม่เจ็บ แต่ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่ชอบเจ็บ เพราะตอนเจ็บมันสนุก มันส์ในอารมณ์ แต่ลืมคิดถึงผลที่จะตามมา

ครอบครัวกำลังมีความสุขดีอยู่แล้ว อย่าไปทำลาย ร้านอาหารก็ขายดี เมียก็เป็นคนดี ขยัน ซื่อสัตย์ต่อเรา ลูกก็เป็นคนดี นี่ถือว่ามีบุญที่สุดแล้ว

ในเมื่อบ้านคือครอบครัว โยมสร้างไว้แข็งแรง มีกำแพงแข็งแกร่ง กันโจรขโมยผู้ร้ายได้เป็นอย่างดี แล้วทำไมไปทุบทิ้งเพื่ออะไร??

อุทาหรณ์เรื่องนี้ สามารถสอนใครได้หลายคน เพราะคนในสังคมไม่ว่าจะอยู่เมืองนอกเมืองนา หรืออยู่ที่ไหนบนโลกใบนี้ ล้วนกำลังประพฤติส่ำส่อนกันอยู่ ด้วยความคุ้นชิน อย่างชนิดไม่กลัวบาปบุญคุณโทษ

ยิ่งในช่วงนี้ละครยอดฮิตแบบผัวๆเมียๆกำลังมาแรง ส่งผลให้หลายครัวมีปัญหาการนอกใจของคู่ผัวเมียเพิ่มทวีคูณ แต่อาตมาขอบอกว่าทุกเรื่องทุกชีวิต ล้วนมีเบื้องหลังการนอกใจ ซึ่งมันมีอะไรแฝงอยู่บ้างอย่างแน่นอน

ในมุมมองความเห็นส่วนตัวของอาตมา เชื่อว่าการนอกใจของผู้ชายไม่ได้เกิดขึ้น เพราะพวกเขาไม่รักเมียของตนเองอีกแล้ว

แต่ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเมื่อผัวไม่พึงพอใจสภาพที่เป็นอยู่ในบ้าน เฉกเช่น การทะเลาะเบาะแว้งกันบ่อยๆ เหนื่อยกับการเลี้ยงลูก รู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่

เมื่อมีใครบางคนเข้ามาเติมเต็มส่วนที่ขาดหายนี้ไปได้ ก็เลยทำให้เขาพลาดพลั้งนอกใจเมียไปนั่นเอง

สำหรับแนวทางการป้องกันคือ ผัวเมียต้องหาเวลาดีๆ คุยกันถึงเรื่องดีๆ อนาคตดีๆ ที่จะสร้างร่วมกัน เพื่อที่ว่าคนของเราจะได้มีเป้าหมาย ไม่ต้องไปสร้างเป้าหมายนี้กับคนอื่น
ส่วนเมีย ควรทราบไว้ว่า เพื่อนสมัยเด็ก เพื่อนสมัยเรียน แฟนเก่า น้องที่ทำงาน เด็กฝึกงาน คือ ผู้ต้องสงสัยอันดับต้นๆ

“ไม่ใช่สาวในผับในบาร์แต่อย่างใด” 
เพราะคนที่จะเข้ามาสร้างความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวกับผัวของคุณโยมได้ อย่างน้อยก็ต้องมีความสัมพันธ์ดีๆ กันมาก่อน

เช่น อาจเคยช่วยเหลือกันมาสมัยเรียน หรือสมัยทำงาน ทางที่ดีคือ พยายามทำให้ผัวรู้สึกว่า โยมสำคัญต่อเขา และมีดีเหนือกว่าเพื่อนร่วมงานของเขาให้ได้
การนอกใจเมียที่เกิดขึ้นกับผัวนั้น ส่วนหนึ่งเพราะพวกนี้ไม่รู้จะแก้ไขความสัมพันธ์ในบ้านที่มันย่ำแย่อย่างไร

ดังนั้นผัวจึงออกไปหา “บางสิ่งบางอย่าง” จากข้างนอก เผื่อว่า มันจะสามารถทดแทนสิ่งที่ครอบครัวไม่สามารถให้ได้นั่นเอง
เมียไม่ได้ร้องไห้น้ำตานอง เสียใจแต่เพียงฝ่ายเดียว ผัวเองก็รู้สึกผิดกับการกระทำของตนเองเช่นกัน

และอาตมาเชื่อว่า เมียที่ใกล้ชิดกับผัว มักสังเกตความผิดปกตินี้กันได้แทบทุกคน
ในยุคปัจจุบัน ทั้งผัวและเมีย ต่างก็พบเจอปัญหาการนอกใจได้พอ ๆ กัน แต่เหตุผลที่ใช้ในการนอกใจนั้นแตกต่างกัน

เนื่องเพราะเมียที่นอกใจนั้น มักเป็นเรื่องของการขาดที่พึ่งทางอารมณ์ และการไม่ได้รับความพึงพอใจในชีวิตคู่

“แต่ผู้ชายมักเกี่ยวกับความต้องการทางเพศเป็นหลัก”
ไม่จำเป็นว่าผัวเป็นคนดัง หรือคนธรรมดาทั่วไป แล้วจะมีผลต่อการจับพิรุธของเมีย เพราะเมียส่วนมากมักมีเซ้นส์เรื่องนี้กันอยู่แล้ว เรียกได้ว่าเป็นเรดาร์กันเลยก็ว่าได้
การนอกใจมักจบลงด้วยการคืนดี แม้จะไม่เสมอไป แต่โดยมาก การนอกใจก็ทำให้หลายคู่หันกลับมาคืนดี รวมถึงแก้ไขข้อบกพร่องของตนเองเพื่อรักษาครอบครัวให้คงอยู่ได้

ฝ่ายผัวเอง หลังจากหันไปสนใจกับความสัมพันธ์ใหม่ ที่น่าตื่นเต้นกว่า สักพักก็จะเริ่มรู้สึกตัวว่า ใครคือคนที่เขาอยากอยู่ด้วยมากที่สุด ซึ่งมักเป็นภรรยา แต่ไม่ใช่ชู้รักใหม่แต่อย่างใด และเริ่มรู้สึกว่า ผู้หญิงที่เขาปันใจให้นั้น จริงๆ แล้วก็ไม่ได้ดีหรือสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่าง

ในความจริงแม้จะกลับมาคืนดีกับเมียแล้ว ฝ่ายผัวอาจยังไม่ลืมผู้หญิงคนนั้น

น่าเศร้าที่ข้อนี้เป็นความจริง ที่ต้องยอมรับด้วยเช่นกัน เพราะในการเผลอใจมีอะไรๆ กับหญิงอื่นนั้น อาจมีบางสิ่งบางอย่างที่ลืมไม่ลงซ่อนอยู่ นั่นจึงทำให้อาจย้อนนึกถึงได้ แม้ผัวจะกลับมาคืนดีกับเมียแล้วก็ตาม

ความจริงข้อสุดท้าย คนที่นอกใจจะสำนึกถึงความผิดที่ทำลงไปเสมอ เมื่อได้กลับมาคืนดีกัน และสร้างครอบครัวใหม่อีกครั้ง หลังการนอกใจนั้น ผัวทุกคนรู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไป เพราะได้สร้างบาดแผลครั้งใหญ่กับเมียและลูกๆ ซึ่งอาจต้องใช้เวลานานในการเยียวยาให้ดีขึ้น และสิ่งนั้นคือผลที่ผัวรักสนุกทั้งหลายต้องยอมรับมันให้ได้

ทางที่ดี สำหรับใครก็ตามที่กำลังจะมีประเด็นชู้สาวเข้ามาในชีวิต ก็กล้าหาญกับชีวิตสักหน่อย ยอมรับสักนิดว่าตนเองมีเมียและลูกแล้ว ไม่ต้องอ้างปัญหาในครอบครัว เพราะคนที่มีครอบครัวคนไหนๆ ก็ต้องเจอปัญหาเสมอ รวมถึงสาวๆ ถ้ารักจะส่ง SMS หาคนที่มีเมียแล้ว ก็ต้องบอกตัวเองให้รักษาหน้า รักษาชื่อเสียงครอบครัววงศ์ตระกูลเอาไว้บ้าง ดีกว่าปล่อยให้เมียเขาเก็บหลักฐานฟ้องเรียกค่าเสียหายให้อับอายนะโยม อาตมาขอบอกว่า...หาผู้ชายโสดๆ เถอะโยม...............ขอเจริญพร

วันอังคารที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2557

กิจของสงฆ์ ต้องทำวัตรเช้า-เย็น ห้ามขาด
กุศโลบาย ใครไม่ทำ เจ้าอาวาส ‘ปรับเงิน’
จุดไฟ อยู่อย่างประชาธิปไตย ภายใต้เหตุผล

คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม


เจริญพรญาติโยมทุกท่าน ตลอดทั้งอาทิตย์ อาตมารับโทรศัพท์ จากหลายวัด โทร.ปรึกษา เรื่องการทำวัตร ที่พระเณรส่วนใหญ่ขี้เกียจไม่ยอมทำ อ้างสารพัด และสุดท้ายเริ่มขาดหายไปจนหมด เฉกเช่นคำฮิต “มาสายเป็นนิจ ล่ากิจเป็นประจำ การงานชอบเลี่ยง ส่งเสียงเอะอะ” ส่งผลให้สมภารเอือมระอา ขอความเมตตา “ช่วยจุดไฟในใจพระเณร หน่อยเถอะ หลวงพี่น้ำฝน”

มีข้อสงสัยทำไมพระวัดไผ่ล้อม ถึงทำวัตรเช้าเย็น เป็นระเบียบ ถามอาตมา “ใช้เทคนิคสูตรเด็ดอะไร ในการบริหาร”
ก่อนอื่นขอเล่าอดีตที่ผ่านมา คราหลวงพ่อพูล ยังมีชีวิต อาตมารับใช้ใกล้ชิดสนองงานตามคำสั่งมอบหมาย

หลวงพ่อเป็นพระพูดน้อย ยิ่งพอใกล้ละสังขาร ไม่พูดเลย นิ่งเป็นใบ้ ได้รับสมญา “พระจริงต้องนิ่งใบ้”

พอท่านใบ้แล้วใครจะทำหน้าที่ อาตมาสวมวิญญาณร่างทรง ทำหน้าที่ตั้งแต่ “สากกะเบือยันเรือรบ”

หลังท่านละสังขาร มีการประชุมเลือกเจ้าอาวาส ที่วัดใช้ระบบประชาธิปไตย พระทุกรูปลงมติเลือกให้อาตมาเป็นเจ้าอาวาส

อาตมาขึ้นครองตำแหน่ง ด้วยพื้นฐาน เป็นคนไม่ชอบใช้อำนาจ ไม่นิยม “ฟาดงวงฟาดงา” เน้นปรึกษา เจรจาโต๊ะกลม ใช้เหตุผล ใครมีอะไรดีกว่า นำมาโต้แย้ง แล้วสรุปเป็นเอกฉันท์

วัดไผ่ล้อม บริหารงานด้วยวิธี ลองผิดลองถูก มาแล้วมากมาย อันไหนไม่ดี ยังไม่สัมฤทธิ์ผล ต้องเปลี่ยนแปลงแก้ไขปรับปรุง ไม่นิยมทำงานแบบ  “เช้าชามเย็นยาม” ไม่มีเด็กเส้น ไม่มีพวกมากลากไป ไม่แบ่งกลุ่มแบ่งพวก ที่วัดมีพวกเดียวคือ “พวกเจ้าอาวาสทั้งวัด”

หัวใจสำคัญวัดไผ่ล้อม เน้นความสะอาด อันดับแรกวัดต้องสะอาด พระเณรทุกรูปต้องทำงาน กวาดลานวัด ล้างโบสถ์ คืองานหลัก ต้องทำทุกวัน เป็นการแบ่งหน้าที่ มีตำแหน่งเหมือนทีมฟุตบอล มีศูนย์หน้า กองกลาง ปีกซ้าย ปีกขวา ศูนย์หน้า ประตู ทุกรูปมีหน้าที่ ไม่มีใครรังเกียจเดียดฉันท์ ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ส่วนงานรองลงมาคือ เวลาทางวัดมีงานด่วน มีงานเฉพาะกิจ ต้องการระดมพล อาตมาเป่านกหวีด เมื่อไหร่ ต้องมาครบ ช่วยกันรุมทำให้เสร็จทันการณ์ นี่คืองานที่ต้องการความสามัคคี รวมพลัง พระเณรทุกรูปล้วนสนุกกับงานแบบนี้ เพราะทุกรูปมีพื้นฐานที่รักกันอยู่แล้ว จึงอยากที่จะช่วยกันด้วยความจริงใจ และบริสุทธิ์ใจ

ส่วนเรื่องของหน้าที่หลัก หัวใจของคณะสงฆ์ที่บวชเข้ามาแล้วทุกรูปต้องปฏิบัติ นโยบายของอาตมาในฐานะสมภาร คือ ต้องสวดมนต์ทำวัตรเช้าในเวลา ตีห้าถึงหกโมงเช้า แล้วก็ไปบิณฑบาต ทำภารกิจส่วนตัว ส่วนช่วงเย็นเวลาห้าโมงถึงหกโมงเย็น ก็ต้องทำวัตรสวดมนต์เย็น ตามกฎระเบียบที่วางไว้

ใหม่ๆยังหาวิธีที่แยบยลไม่ได้ มีขาดมีหายกันไปบ้าง อาตมาใช้วิธีทำโทษ ให้ทำความสะอาดในจุดต่างๆตามสมควร หรือตัดกิจนิมนต์

ปรากฏว่า วิธีการนี้ไม่ได้ผล พระเณร ยังคงขาดหายไปเรื่อยๆ แบบไม่เกรงกลัว ไม่อายฟ้าดิน เนื่องเพราะโทษอาจจะเบาไป หรือทุกคนมองเป็นเรื่องธรรมดา “กูจะลาและหายแบบนี้ไม่เห็นจะมีอะไร” เพราะมันไม่มีผลแก่ชีวิต และที่ทำแบบนี้ได้คือพวกหน้าด้านหน้าทนจริงๆ

จากนั้นอาตมาก็ได้ปรับเปลี่ยนมาแล้วสารพัดวิธี ไม่สำเร็จสักครั้ง

สุดท้ายอาตมาปิ๊งไอเดียใหม่ล่าสุด มั่นใจว่าต้องสำเร็จแน่นอน นั่นคือถ้าใครขาด ให้ปรับเงิน หนึ่งพันบาทต่อหนึ่งครั้ง โดยออกเป็นกฎเหล็ก ห้ามขาด ห้ามลา ยกเว้นถ้าใครมีภารกิจจำเป็นจริงๆลาได้ แต่มีข้อแม้ต้องมาลาเป็นการส่วนตัวกับเจ้าอาวาสเท่านั้น

ส่วนเงินที่ปรับลงกองกลาง ตั้งเป็นกองทุนไว้เลี้ยงภัตตาหารพระเณรในยามที่ขัดสน

สรุปวิธีนี้ได้ผลเกินคาด พระเณรไม่มีใครยอมขาด ขยันขันแข็งทำวัตรสวดมนต์เช้าเย็น เห็นผลทันตา ส่วนรูปไหนที่ขาดแล้ว บอกไม่มีเงินจ่าย ก็ไปหักจากกิจนิมนต์ โยมใส่ซองถวายมา ก็หัก ณ ที่จ่าย ไม่มีการผ่อนปรน ต้องเด็ดขาด สุดท้ายระเบียบวินัยก็เกิด กลายเป็นความเคร่งครัดในพระธรรมวินัย ได้ผลเป็นรูปธรรม

นี่คือสิ่งที่อาตมาภาคภูมิใจ ที่ทำให้วัดไผ่ล้อมสะอาดตา รวมถึงพระเณรมีระเบียบวินัย ทำวัตรสวดมนต์ ที่เป็นกิจของสงฆ์ การสวดมนต์เป็นการเจริญสมาธิอีกอย่างหนึ่ง ที่ได้ครบ ทั้งศีล สมาธิ และปัญญา พระเณรวัดไผ่ล้อมสวดมนต์เก่งทุปรูป และที่สำคัญอาตมามีความเชื่อว่า พระเราต้องสะอาดทั้ง กาย วาจา ใจ มิใช่ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ แบบผลาญข้าวสุกชาวบ้าน เฉกเช่นที่ญาติโยมเขียนเหน็บไว้ว่า “เช้าเอน เพลนอน กลางวันพักผ่อน กลางคืนมาม่า” หรือที่โบราณชอบว่า พวกพระไม่เห็นจะมีอะไร วันๆก็แค่ “บิน บัง สัง สวด” ขยายความก็คือ เช้าก็บิณฑบาตขอทาน ขอสตางค์ ขออาหาร พอกลับมาวัดก็รับบังสุกุล สังฆทาน สวดมนต์ ชีวิตก็มีอยู่แค่นี้ อยู่ไปวันๆไร้แก่นสาร

อาตมาคิดว่า พระเราต้องปฏิวัติใหม่ พออาตมาได้ขึ้นเป็นเจ้าอาวาส จึงพยายามคิดค้นสูตรที่จะทำให้วัดเป็นวัดจริงๆ ให้พระเป็นพระแท้จริงๆ มิใช่มาบวชอาศัยผ้าเหลืองทำมาหากิน

ที่วัดไผ่ล้อม ถ้าใครคิดจะมาบวชที่นี่ ต้องทำใจ ขี้เกียจไม่ได้ เรียนก็ต้องเรียน งานต้องทำ กิจของสงฆ์ยิ่งต้องทำหนัก ให้เน้นความเพียรความอดทนเป็นหลัก ถึงจะอยู่ด้วยกันได้ และที่สำคัญเน้นประชาธิปไตยล้วนๆ ไม่เอาเผด็จการ!!!

คอลัมน์จุดไฟในใจคน ฉบับนี้ ถือเป็นการเฉลยเคล็ดลับ ที่ถามกันเข้ามามาก ว่าทำไมพระเณรวัดไผ่ล้อม ถึงทำวัตรสวดมนต์เช้าเย็น เคร่งครัด มิเคยขาด ปฏิบัติเต็มพิกัดทุกวัน

รวมถึงความสามารถผลพวงที่ตามมาปรากฏ พระเณรทุกรูปสวดมนต์ได้ทุกบท แม่นยำ อักขระชัดเจนถูกต้อง พร้อมเพรียง ไปสวดบ้านไหนมีแต่ญาติโยมชม สวดหนึ่งชั่วโมงเต็ม สมบูรณ์แบบที่สุด

ส่วนเรื่องความสะอาดวัดเราครองแชมป์มานานแล้ว ไม่มีใครลบสถิตินี้ได้

สรุปท้ายสุดนี้ อาตมาขอฝากไปยังผู้ปกครอง ผู้เป็นใหญ่หรือผู้นำสังคมทั้งหลาย ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้ผู้น้อยเห็น อาตมายึดหลักการปกครอง ต้องมีคุณธรรมคือขยันหมั่นเพียร ใช้ปัญญารู้เท่าทันเหตุการณ์ เมื่อมีคุณธรรม คุณภาพก็จะตามมาเองในที่สุด

การบริหารมีล้มลุกคลุกคลานบ้าง สำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา สำคัญต้องมีน้ำใจที่ตื่นตัวเสมอ ลุกขึ้นทำงานทุกขณะ คิดไปในทางก้าวหน้าตลอดเวลา และต้องกล้าที่จะเผชิญกับความลำบากในการทำงาน ไม่ว่างานนั้นจะสูงหรือต่ำ

ต้องเดินหน้าเรื่อยไปไม่หยุด ทำต่อเนื่อง “ไม่ใช่ขยันแบบกิ้งก่า วิ่งไปแล้วก็หยุด วิ่งไปแล้วก็หยุด และไม่ใช่ลักษณะพลุ ที่สว่างแวบเดียวแล้วก็หมดกัน”

คนทำงานกับอาตมา “เก่งไม่กลัว กลัวช้ามากกว่า” ต้องรวดเร็ว เรียบร้อย ได้ผลงาน

ข้อคิดทั้งหมดนี้โยมสามารถนำไปใช้ เป็นกลไกบริหาร

ถ้าทำได้ เชื่อว่าเจริญรุ่งเรืองแน่นอน...ขอเจริญพร

วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2557

โยมสีกานักศึกษาสาว พลาดท่าเสียตัวหลวงพี่ชื่นชมในสปิริต ไม่คิดทำแท้งประณามผู้ชาติ ต่อไปมึงก็ต้องรับกรรม

คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม

เจริญพรญาติโยมทุกท่าน เมื่อเร็วๆนี้ มีโยมสามท่าน เดินทางมาที่วัดไผ่ล้อม มุ่งตรงมาที่กุฏิอาตมา สีหน้าอาการตื่นเต้น พอเจอหน้ามีโอกาสทักทาย โยมบอกหวั่นใจเกรงจะไม่ได้พบหลวงพี่
โยมทั้งสามประกอบด้วย สองหญิง หนึ่งชาย “แม่ ลูกสาว และแฟนหนุ่ม” โยมมีเป้าหมายที่มาพบในวันนี้ ประเด็นหลักๆ อยากมานมัสการขอฤกษ์วันแต่งงานให้ลูกสาวและลูกเขยในอนาคต โยมบอกสาเหตุที่เจาะจงหลวงพี่ เพราะติดตามรายการ “คิดไม่ออกบอกหลวงพี่น้ำฝน” ทางช่อง 5 ก็เลยอยากมาหา เพื่อขอแนวคิด และต้องการแสงสว่างทางธรรม

อาตมาพอเห็นหน้า ก็รู้ได้ทันทีว่าเด็กคนนี้กำลังตั้งครรภ์ และพออาตมาเอ่ยปากทักว่า “ท้องอยู่ใช่มั้ยโยม” ทำเอา โยมลูกสาว ถึงกับทำสีหน้าตกใจ อย่างเห็นได้ชัด

โยมชักสีหน้าตกใจ.... ออกอาการสงสัย “หลวงพี่รู้ได้ยังไง” ว่ากำลังตั้งท้องอยู่

หลังจากนั้นอาตมากล่าวอีกว่า “หนูรู้มั้ยที่ผ่านมา หนูทำให้แม่ทุกข์ใจขนาดไหน”

อาตมาเริ่มการเตือนสติอันดับแรก ก่อนที่จะเบนเข็มไปแฟนหนุ่ม ฝ่ายชาย มีอาการพิรุธ อาตมาก็เลยทักเตือนไปว่า “ต่อไปนี้ก็ต้องเตรียมตัวรับกรรม และที่สำคัญอย่าทิ้งเมีย หลวงพี่ขอภาวนา อย่าให้คำทำนายของหลวงพี่แม่น เพราะหลวงพี่ไม่ยากทายแม่น เดี๋ยวทั้งคู่จะเดือดร้อน”

ฉะนั้นโยมผู้ชายต้องทำตัวให้ดีๆนะ เรากำลังจะเป็นพ่อคนแล้ว ต้องซื่อสัตย์ต่อเมียให้มากที่สุด

อาตมาเกริ่นนำแบบไม่ได้รู้ เบื้องลึกเบื้องหลังของทั้งสามคนมาก่อน และก่อนที่จะเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง โยมแม่ของฝ่ายหญิง เริ่มเปิดประเด็น เมื่อเข้ามานั่งในกุฏิเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โยมแม่เล่าถึงประวัติความเป็นมาของสาว “ลูกโยมอายุ 23 ปีแล้วค่ะ แต่ยังเรียนอยู่ชั้น ปวส.ปี 1 เรียนบ้างหยุดบ้าง เพราะมีปัญหา” แต่โยมไม่ได้ขยายความว่ามีปัญหาเรื่องอะไร

“ตอนนี้ลูกสาวท้องได้ 1 เดือนกว่าๆแล้วค่ะ ส่วนแฟนลูกสาว เขาอายุ 28 ปี มีการมีงาน ทำเป็นหลักแหล่งมั่นคงใช้ได้ค่ะ”
หลังจากนั้นฝ่ายลูกสาวก็พูดบ้าง หลังจากให้แม่สาธยายเรื่องของตนและแฟนเสียยืดยาว เธอยืนยันเสียงหนักแน่น “หลวงพี่ค่ะ ถึงหนูจะท้องก่อนแต่ง แต่หนูก็ไม่เคยคิดที่จะไปทำแท้งนะค่ะหลวงพี่”

พออาตมาได้ฟังประโยคนี้จากโยมลูกสาว รู้สึกชื่นชม ในความกล้าหาญชาญชัยของสาวน้อยคนนี้ ที่เธอมีความเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจที่ถูกต้อง ไม่หลงประเด็น ไม่คิดทำบาป สร้างเวรสร้างกรรม กล้าทำผิดก็ต้องกล้ายอมรับผิด

อาตมาขอยกย่องในความมีสปิริตของโยมลูกสาว เพราะในความเป็นคนนั้น การที่เรารู้ตัวเอง ว่าทำผิดพลาดไปแล้วในชีวิต แล้วยอมรับความจริง ไม่หนีปัญหา ไม่สร้างปัญหาเพิ่ม อีกทั้งพร้อมรับในการนับหนึ่งใหม่ และเริ่มใช้ชีวิตด้วยการปรับตัว ถือเป็นเรื่องที่ดีงาม น่าศรัทธายิ่งนัก

สังคมไทยเป็นสังคมที่เปราะบาง อ่อนไหวง่าย ตัดสินใจไม่เป็น คิดไม่กว้าง แก้ปัญหาโดยวิถีง่ายๆ

คนรุ่นใหม่ไม่ชอบใช่สมอง ชอบใช้แต่คอมพิวเตอร์ ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีมากเกินไป ไม่สนใจในศีลธรรม ขาดสมาธิ ปัญญา

บางคนชอบใช้แต่กำลังไม่ใช่สมอง บางรายชอบใช้เงินแก้ปัญหา ทั้งๆที่ยังมีเวลาให้คิด ยังมีเวลาให้ตรึกตรองอีกต้องมากมาย

จำไว้เลยญาติโยมทุกท่าน การรีบร้อน การด่วนตัดสินใจ นำมาซึ่งความ “ฉิบหาย” อย่างเร็วพลัน

การที่โยมลูกสาวไม่ทำแท้ง แล้วเตรียมพร้อมแต่งงาน เป็นวิธีคิดที่ดีที่สุด

ส่วนเรื่องเรียนก็ยังไม่สาย สามารถกลับไปเรียนต่อได้ พอเรียนจบมาช่วยกันทำมาหากินสร้างครอบครัว “พ่อแม่ลูก”แล้วนำบทเรียนนี้ไปสอนลูกหลานต่อไป เพื่อไม่ให้พลาดเหมือนแม่อีก

ชีวิตคนเราต้องอยู่กับความเป็นจริง ประสบการณ์ทั้งดีและไม่ดี จะสอนให้เราแข็งแกร่ง เดินบนถนนสายนี้ได้อย่างมั่นคง

ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ต้องไม่ท้อแท้ ความสุขอยู่ที่การดำเนินชีวิตแบบราบเรียบ อ่อนโยน อ่อนน้อมถ่อมตน และต้องรู้จักพอ มุ่งมั่น หมั่นทำความดี ด้วยความขยัน ซื่อสัตย์ อดทน และรู้บุญคุณคน และอย่าลืมต้องอยู่ภายใต้เหตุผล อย่าตะแบง อย่ามีอีโก้สูงจนเกินไป

คนรุ่นใหม่ต้อง "ปรับ-เปลี่ยน" การรับฟังธรรมะ พระต้องปรับการสอน เพื่อให้เกิดความ "ง่ายต่อการเข้าใจ" และต้องเข้าใจใน "ระดับสติปัญญา" ของเด็กด้วยเช่นกัน

ธรรมะเพื่อคนรุ่นใหม่ อาตมาคิดว่ามันยังได้ผล เพราะเราต้องยอมรับว่าในสังคมไทยนั้น มีทั้งคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ การสอนรุ่นเก่าจะตอบสนองต่อคนรุ่นเก่า แต่จะไม่มีพลังในการเปลี่ยนแปลงสังคมอะไรมากนัก การสอนให้แสงสว่างคนรุ่นใหม่ถ้าทำให้ดี ก็จะได้ใจทั้งคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ รวมทั้งจะเป็นการขับเคลื่อนสังคมไทย ให้หันไปสู่ทิศทางที่ถูกต้องด้วย

ฉะนั้นการที่อาตมาสอน คนหนุ่มสาว อาตมาจะยึดขนบประเพณีแบบเดิม แต่ต้องทันโลกแล้วก้าวไปพร้อมๆ กัน ถ้ารู้เท่าทันโลกใบเก่า แล้วก้าวทันโลกใบใหม่ ธรรมะเชิงรุกก็จะมีประสิทธิภาพ

วัยรุ่นส่วนใหญ่มีนิสัยหยิบโหย่ง หลักลอย ขาดวิจารณญาณ แล้วก็ไม่เชื่อมั่นในตนเอง เท่าใดนัก เชื่อเพื่อน เชื่อแฟนมากกว่า จุดนี้ถือเป็นวิกฤตการณ์คุณภาพของคนไทย ธรรมะเชิงรุกจึงสำคัญ

ฉะนั้นสิ่งที่อาตมาอยากจะฝากไปยังหนุ่มสาวคนรุ่นใหม่ทุกท่าน ควรอ่านตรงนี้ “พระพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าเราจะศรัทธา ควรจะมีศรัทธาอย่างน้อยใน 4 เรื่องด้วยกัน หนึ่ง ศรัทธาในกฎแห่งกรรม สองศรัทธาในผลของกฎแห่งกรรม สามศรัทธาว่าคนทุกคนมีกรรมเป็นของตัวเอง ทำสิ่งใดไว้ต้องได้รับผลของกรรมนั้น และสี่ ศรัทธาในศักยภาพของสติปัญญา แห่งมนุษย์เอง ถ้าเราจะศรัทธาให้ศรัทธาในสี่เรื่องนี้เป็นหลัก" ชีวิตเจริญแน่นอน

ทุกวันนี้ แนวโน้มของคนรุ่นใหม่ที่สนใจศาสนา แม้จะมีน้อย แต่อาตมาเชื่อมั่นว่าน่าจะเป็นจำนวนน้อยที่มีคุณภาพ มากกว่าจำนวนมากเหมือนในอดีตที่ผ่านมา

อาตมาคิดว่าการที่จะทำให้คนสนใจธรรมะ สิ่งที่ดีที่สุดอยู่ที่ การเอาธรรมะที่แท้จริงมาเผยแพร่ ไม่ใช่เอาธรรมะเปลือก ธรรมะสะเก็ด ธรรมะกระพี้ ออกมาเผยแพร่อย่างทุกวันนี้

นอกจากนั้นต้องให้การศึกษาที่ดีแก่ประชาชน พระและโยม ต้องคอยเอื้อกันและกัน เรียกว่า “วัดอวยธรรม บ้านอวยทาน” ขานรับกับความจริง โลกมันเปลี่ยน

อย่าไปตำหนิ ว่า เด็กสมัยนี้มันโง่ ตอนโยมเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ยุคนั้นก็ด่าโยมอย่างนี้เหมือนกัน

เด็กสมัยนี้ฟังเทศน์ก็รู้เรื่อง เพียงแต่ว่าปัจจัยมันต่าง ตอนนี้มีหลายสื่อเข้ามา ถ้าพระพุทธศาสนาอยากให้เดินหน้าต่อไป ควรที่เปิดกว้างเข้าสู่สังคมมากกว่านี้ จริงๆ หลักธรรมที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า มีอยู่หลักธรรมเดียว แต่อาตมารู้สึกดีใจที่คนพยายามเผยแผ่หลักธรรมเดียวออกไปหลายๆ สื่อ เพื่อดึงคนกลับเข้าสู่พระพุทธศาสนา

ถ้าพระพุทธศาสนายังคงอยู่แต่ในวัด ไม่ยอมแตกตัวไปที่อื่น พวกเราก็จะโดนกลืนได้อย่างแน่นอน!?!...ขอเจริญพร

‘พระสงฆ์’ ไม่ควรยุ่งเกี่ยวการเมือง
ต้องเป็นกลาง ตั้งในศีลธรรม-ทำให้คนรักกัน
รักชอบใคร ‘อยู่ในใจ’ ไม่แสดงออก

คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม


เจริญพรญาติโยมทุกท่าน อาตมาได้รับโทรศัพท์หลายสาย ถามไถ่เรื่องพระสงฆ์ยุ่งเกี่ยวการเมืองได้หรือไม่ ในมุมมองอาตมา ถ้ายึดทางโลก ญาติโยมสามารถแสดงออกได้ตามกฎหมาย ตามหลักประชาธิปไตย

แต่ในทางสงฆ์ อาตมาคิดว่า ควรวางตัวเป็นกลาง ตั้งมั่นในศีลธรรม และถ้าวิจารณ์ ควรเป็นกลางที่สุด อย่าชี้นำ “ในทางเอียง”

ในทางพุทธศาสนา “ฟันธง ถ้าสงฆ์เอียง ย่อมเป็นโลกวัชชะ” ชาวโลกติเตียน รู้กันโดยนัย สงฆ์ไทยยุ่งเกี่ยวกับการเมืองไม่ได้ เว้นแต่จะคิดอยู่ในใจ

ถ้าเคร่งครัดพระธรรมวินัย ใช้หลักมัชฌิมาปฏิปทา เดินสายกลาง ย่อมประเสริฐสุด

อุปมาเหมือนโยมดูมวย มีฝ่ายแดงกับฝ่ายน้ำเงิน สำหรับพระสงฆ์ ต้องเป็นกรรมการ เข้าข้างฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งไม่ได้ ตัดสินตามคะแนนที่ปรากฏ ถ้าตัดสินเอียง โดนคนดูโห่ไล่แน่นอน “การเป็นกรรมการหรือเป็นพระสงฆ์ ต้องมีความยุติธรรม”

ห้วงนี้มีคำถามมากมาย เรื่องพระยุ่งการเมืองได้หรือไม่ ในฐานะที่อาตมาเคยเป็นพระวินยาธิการมาก่อน ถ้ากางกฎหมาย “ผิดแน่นอน” คำสั่งมหาเถรสมาคม ระบุ เรื่องห้ามพระภิกษุสามเณรเกี่ยวข้องกับการเมือง

ห้ามเข้าไปในที่ชุมนุม หรือบริเวณสภาเทศบาล หรือสภาการเมืองอื่นใด หรือในที่ชุมนุมทางการเมือง ไม่ว่ากรณีใดๆ

ห้ามทำการใดๆ อันเป็นการสนับสนุนช่วยเหลือโดยตรง หรือโดยอ้อมแก่การหาเสียง เพื่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสภาเทศบาล หรือสภาการเมืองอื่นใด แก่บุคคลหรือคณะบุคคลใดๆ

ห้ามร่วมชุมนุมในการเรียกร้องสิทธิของบุคคลหรือคณะบุคคลใดๆ

ห้ามร่วมอภิปราย หรือบรรยายเรื่องเกี่ยวกับการเมือง ซึ่งจัดตั้งขึ้นทั้งในวัดหรือนอกวัด

ให้พระสังฆาธิการตั้งแต่ชั้นเจ้าอาวาสขึ้นไป ผู้มีอำนาจหน้าที่ในการปกครอง ชี้แจงแนะนำผู้อยู่ในปกครองของตน ให้ทราบคำสั่งมหาเถรสมาคมนี้ และกวดขันอย่าให้มีการฝ่าฝืนละเมิด

พระภิกษุรูปใด ฝ่าฝืน ละเมิด คำสั่งมหาเถรสมาคมนี้ ให้พระสังฆาธิการปกครองใกล้ชิดดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของตน

ถ้าความผิดเกิดขึ้นนอกเขตสังกัด ให้เจ้าคณะเจ้าของเขตที่ความผิดเกิดขึ้น ว่ากล่าวตักเตือน แล้วแจ้งให้พระสังฆาธิการผู้ปกครองใกล้ชิดดำเนินการ

ให้พระสังฆาธิการผู้มีอำนาจหน้าที่ในทางปกครองทุกชั้น ปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำสั่งมหาเถรสมาคมนี้โดยเคร่งครัด

ถ้าอ่านกฎหมายเป็น พระสงฆ์ต้องเข้าใจ ควรวางตัวเป็นกลาง ไม่ควรยุ่งเกี่ยวการเมืองโดยเด็ดขาด

บทบาทพระสงฆ์ในอดีตนั้น ล้วนเป็นต้นแบบคุณธรรมจริยธรรม บ่อเกิดคุณความดี มีความสงบ สง่างาม

การออกมาเคลื่อนไหว ลักษณะคล้ายฝูงปุถุชน ไม่ค่อยเห็นในสังคมมากนัก อย่างไรก็ตาม ท่าทีของพระสงฆ์ ต่อบทบาททางการเมือง ในอดีตนั้นมีอยู่บ้าง เมื่อคราสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และสมเด็จพระเอกาทศรถ พลัดหลงเข้าไปประจันหน้ากับทัพหลวงของพม่าทหารฝ่ายไทยไม่อาจตามเสด็จได้ทัน เพราะกำลังรบตะลุมบอนกับกองทัพหน้าของพม่า สมเด็จพระนเรศวรท้าพระมหาอุปราชากระทำยุทธหัตถีและทรงฟันพระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์อยู่บนคอช้าง ทำให้กองทัพไทยมีชัยชนะเหนือกองทัพพม่าในการรบครั้งนั้น

เมื่อเสด็จกลับถึงกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระนเรศวรสั่งประหารชีวิตแม่ทัพนายกองคนสำคัญ ด้วยความผิดโทษฐานปล่อยให้แม่ทัพไปเผชิญกองทัพข้าศึกตามลำพัง

การสั่งประหารชีวิต ไม่มีข้าราชบริพารใดทัดทาน ทั้งที่ถ้าแม่ทัพนายกองคนสำคัญ ถูกประหารชีวิต กองทัพก็จะอ่อนแอ เสียเปรียบพม่า

“ข่าวการสั่งประหารชีวิตนี้แพร่เข้าไปในวัดป่าแก้ว”

สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว และพระราชาคณะ พร้อมกันเข้าไปในวัง ถวายพระพร ถามข่าวการศึกสงคราม สมเด็จพระนเรศวรตรัสว่าพระองค์ได้กระทำยุทธหัตถีมีชัยแก่พระมหาอุปราชา สมเด็จพระพนรัตน์จึงถวายพระพรถามว่า เมื่อฝ่ายไทยได้ชัยชนะ เหตุไฉนแม่ทัพนายกองจึงต้องโทษประหารชีวิต

สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ตรัสตอบว่า นายทัพนายกองเหล่านี้ อยู่ในขบวนทัพโยม มันกลัวข้าศึกมากกว่าโยม และให้โยมสองคนพี่น้องฝ่าเข้าไปในท่ามกลางข้าศึก จนได้ทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชามีชัยชนะ แล้วจึงได้เห็นหน้ามัน นี้หากว่าบารมีของโยมหาไม่ แผ่นดินจะเป็นของชาวหงสาวดีเสียแล้ว เพราะเหตุดังนี้โยมจึงให้ลงโทษ

สมเด็จพระพนรัตน์ ถวายพระพรว่า พิเคราะห์ดูแล้วข้าราชการเหล่านี้ จะไม่เกรงกลัวสมเด็จพระนเรศวรนั้น เป็นไปไม่ได้ เหตุการณ์ยุทธหัตถีครั้งนี้เหมือนกับครั้งที่พระพุทธเจ้าประทับนั่งใต้ต้นมหาโพธิ์ ในคืนที่จะตรัสรู้ ปรากฏว่าในช่วงเวลาเย็นมีเทวดาและพรหมมาเข้าเฝ้าชมพระบารมีจำนวนมาก แล้วพากันกลับไป ปล่อยให้พระพุทธเจ้าอยู่เผชิญหน้ากับกองทัพพระยามาร และรบชนะมารด้วยพระองค์เองตามลำพัง

ถ้าพระพุทธเจ้าได้เทวดาและพรหมเป็นบริวารช่วยรบชนะมาร ชัยชนะก็ไม่สู้เป็นอัศจรรย์ ก็เหมือนพระราชสมภารเจ้าทั้งสองพระองค์ ครั้งนี้ถ้าเสด็จพร้อมด้วยเสนาคนิการโยธาทวยหาญมาก และมีชัยแก่พระมหาอุปราชาก็สู้หาเป็นอัศจรรย์แผ่เกียรติยศได้ปรากฏไปในนานาประเทศธานีใหญ่น้อยทั้งนั้นไม่ พระราชสมภารเจ้าอย่าทรงพระราชปริวิตกน้อยพระทัยเลย อันเหตุที่เป็นนี้ เพื่อเทพยาเจ้าทั้งปวงอันรักษาพระองค์จักสำแดงเกียรติยศดุจอาตมภาพถวายพระพรเป็นแท้

สมเด็จพระนเรศวร ได้ฟังการเปรียบเทียบเช่นนั้นทรงพระปิติโสมนัสยกพระหัตถ์ประนมเปล่งพระวาจาว่า สาธุพระผู้เป็นเจ้าว่านี้ควรนักหนา สมเด็จพระพนรัตน์ เห็นว่า พระมหากษัตริย์คลายพระพิโรธแล้ว จึงขอพระราชทานบิณฑบาตให้ทรงไว้ชีวิตแม่ทัพนายกอง

สมเด็จพระนเรศวรตรัสว่า พระผู้เป็นเจ้าขอแล้ว โยมก็จะให้ แต่ทว่าจะให้ไปตีเอาเมืองตะนาวศรี เมืองทวายแก้ตัวเสียก่อน

สมเด็จพระพนรัตน์ ถวายพระพรว่า การซึ่งจะใช้ไปตีบ้านเมืองนั้น สุดแต่พระราชสมภารเจ้าจะสงเคราะห์เถิด ไม่ใช่กิจสมณะ แล้วถวายพระพรลากลับไป

สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว ได้กำหนดไว้ชัดเจนว่าการทำศึกสงครามแสวงหาอำนาจทางการเมืองนั้น ไม่ใช่กิจของสงฆ์ บทบาทของพระสงฆ์จำกัด อยู่ที่การแสดงธรรมชี้ทางที่ถูกต้องในการปกครองบ้านเมือง เห็นกระทำไม่ถูกต้องในเรื่องใดก็เป็นหน้าที่ของพระสงฆ์จะออกมาเทศนาตักเตือนเรียกร้องกันบ้าง


เมื่อครั้งมีการชุมนุม ก็มีพระสงฆ์ขึ้นปราศรัยบนเวทีอยู่บ้าง และได้เห็นภาพชัดเจนว่ามีพระภิกษุสงฆ์ขึ้นเวทีปราศรัยด้วยท่าที และวาจาที่ไม่สมควร จนมหาเถรสมาคม ต้องสั่งศึกพ้นจากความเป็นนักบวช

โดยสรุป พระสงฆ์ไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับการเมือง เพราะไม่ใช่กิจของสงฆ์นั้นเอง

โดยแท้จริงแล้ว กิจของสงฆ์ นั้นถูกกำหนดไว้แล้วตามนโยบายของพระพุทธเจ้า เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงส่งพระอรหันต์ 60 องค์แรกไปประกาศพระพุทธศาสนา ความตอนหนึ่งว่า

เธอทั้งหลายจงจาริกไป เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่มหาชนเป็นอันมาก แสดงชัดเจนว่าพระพุทธเจ้ามุ่งเน้นให้กิจของสงฆ์นั้น เป็นไปเพื่อทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ และเป็นความสุข

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ก็มีปฐมบรมราชโองการตามรอยพระพุทธเจ้าว่า เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนชาวสยาม

พระสงฆ์จำนวนไม่น้อยทุกวันนี้ทำประโยชน์ และหยิบยื่นความสุขให้แก่สังคม ด้วยการแสดงออกถึงการเป็นผู้ให้เสมอ

กิจของสงฆ์ หรือ ไม่ใช่กิจของสงฆ์ ต้องใช้พระธรรมวินัยเป็นข้อกำหนด มิใช่ใช้ความรู้สึกนึกคิดของพระสงฆ์และชาวบ้านเป็นข้อพิจารณา ที่ผ่านมา อาตมาเน้นให้คนรักกันมาแล้วมากมาย

และ เมื่อได้อ่านพระไตรปิฎก หมวดพระวินัย พบว่า พระสงฆ์จำนวนมากทุกวันนี้ ตั้งใจทำกิจของสงฆ์ แต่มีเพียงหนึ่งเดียว ที่ต้องตระหนักแน่วแน่คือ ทุกกิจที่ทำ ทุกคำที่กล่าว ทุกคราวที่คิด จะต้องเป็นไปเพื่อสะสมคุณงามความดีตลอดไป .... ขอเจริญพร


วันอังคารที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2557

ความรักของ .... ‘พี่แอ๊ด’
กับน้องอ้วน (ตัวหยั่งควาย)

คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม


เจริญพรญาติโยมทุกท่าน วันมาฆบูชา ปี 2557 ตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ขึ้น 15 ค่ำเดือน 3 เป็นวันที่พระพุทธเจ้าแสดง "โอวาทปาติโมกข์" เป็นครั้งแรกแก่พระสงฆ์ 1,250 รูป มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย และวันที่ 14 กุมภาพันธ์นี้ เป็นวันแห่งความรัก หรือ Valentine's Day

สัปดาห์นี้ อาตมาจึงนำเรื่องความรัก ของคนคู่หนึ่ง ที่ใช้ชีวิตร่วมกัน ด้วยความซื่อสัตย์ จริงใจ เป็นเรื่องของ “ชายรักชาย” ฝ่ายพระเอกชื่อพี่แอ๊ด ส่วนนางเอก ชื่อน้องอ้วน

ในอดีตพี่แอ๊ด มีอาชีพ แล่เนื้อหมู ใช้ชีวิตเยี่ยงคนหนุ่ม หลังเลิกงาน พักผ่อนบ้าง ตามประสาหนุ่มโสด และที่ชอบเป็นชีวิตจิตใจ คือร้านคาราโอเกะ

“ชีวิตผ่านมาแล้วทุกรูปแบบ ชาย หญิง ตุ๊ด แต๋ว กระเทย รู้เช่นเห็นชาติมาครบถ้วนกระบวนความ”

วันหนึ่งช่วงอาทิตย์อัสดง แดดร่มลมตก ที่ร้านคาราโอเกะ ได้เกิดปรากฏการณ์กามเทพแผลงศร พี่แอ๊ดเหลือบไปเห็นน้องอ้วน ชายร่างใหญ่หัวใจหญิง ส่งยิ้มหวานมาให้ด้วยไมตรี พี่แอ๊ดยิ้มรับ แต่ไม่มีปฏิกิริยาว่าชอบหรือรัก เพราะเป็นเพียงแรกพบ แค่สบตาเท่านั้น

เมื่อวันเวลาผันเปลี่ยน พี่แอ๊ดโหมงานหนัก จนไม่ลืมหูลืมตา หวังสร้างอนาคต เผื่อยามแก่เฒ่าจะได้สุขสบาย

การมุงานจนลืมดูแลสุขภาพ ส่งผลให้พี่แอ๊ด ล้มป่วย ต้องเข้าโรงพยาบาล ลาป่วย มารักษาร่างกายที่บ้าน

พลันที่ข่าวถึงน้องอ้วน รู้ว่าพี่แอ๊ดป่วย เธอร้อนรนทนไม่ไหว อยากไปเยี่ยมพี่แอ๊ดใจจะขาด เพราะลึกๆน้องอ้วน แอบชอบพี่แอ๊ดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

ก่อนไปเยี่ยมพี่แอ๊ด น้องอ้วนตัดสินใจ ไปไหว้เจ้าแม่ตะเคียน ที่วัดไผ่ล้อม จุดธูปเทียน ก้มลงกราบ พร่ำในใจเอ่ยปาก “เจ้าแม่ตะเคียนจ๋า ลูกอยากได้คนดี มาเป็นคู่ชีวิต เจ้าแม่ช่วยลูกช้างด้วยเถิด” สิ้นเสียงบนบานขอคู่....

น้องอ้วน ตัดสินใจสาวเท้าออกจากวัด มุ่งหน้าสู่บ้านพี่แอ๊ด พลันถึงบ้าน เห็นสภาพพี่แอ๊ดในอาการคนเป็นไข้ นอนซม หน้าซีด

เธอจึงจัดการเช็ดเนื้อเช็ดตัว ป้อนยา พูดจาให้กำลังใจ ด้วยจิตหวังดี

การดูแลปรนนิบัติพัดวีครานี้ ส่งผลให้พี่แอ๊ด เกิดความประทับใจ ซึ้งในความปรารถนาดี ในยามเจ็บไข้ได้ป่วยไม่มีใครมาดูแล แต่น้องอ้วนเธอเป็นใคร ทำไมเสียสละ มาดูแลเราได้ขนาดนี้

“รู้สึกรักขึ้นมาทันที รักในความดี ที่ชาตินี้ ถึงจะผ่านผู้คนมาแล้วมากมาย แต่ยังไม่เคยเจอใครที่จริงใจขนาดนี้มาก่อน”


จากนั้นไม่นาน ทั้งคู่ก็ตกลงปลงใจร่วมหอลงโลง หอบเสื้อผ้ามาอยู่ด้วยกัน ฉันผัวเมีย ช่วยกันทำมาหากิน ด้วยอาชีพถนัดของพี่แอ๊ด คือแล่เนื้อหมู ฉะนั้นพี่แอ๊ดจึงพาน้องอ้วน ออกตระเวนขายหมู ตามตลาดนัดต่างๆ ขยันขันแข็งหนักเอาเบาสู้

พำนักพักกายที่เรือนหอรังรัก ก็ยึดเอาบ้านเกิดของน้องอ้วน ที่หน้าวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม เป็นที่ก่อร่างสร้างตัว

หลังจากเลิกขายหมู ทั้งคู่เปลี่ยนอาชีพมาขายขนมหวาน ให้กับนักเรียน ที่โรงอาหาร โรงเรียนวัดห้วยจรเข้ รวมถึงขายสินค้าเงินผ่อน ให้กับคนบ้านใกล้เรือนเคียง ที่ยากจน ไม่มีเงินสดซื้อของกินของใช้ต่างๆ ส่งผลให้ทั้งคู่ ตั้งตัวได้อย่างรวดเร็ว เพราะความขยันล้วนๆ

ล่าสุดทั้งคู่ตัดสินใจออกจากบ้านที่เช่าที่ดินของวัด ออกมาซื้อบ้านเดี่ยว ในราคาล้านกว่าบาท ช่วยกันทำงานหาเงิน ช่วยกันผ่อน หวังสร้างครอบครัวให้เป็นปึกแผ่น

สิ่งที่น่าชื่นชมในชายรักชายคู่นี้ คือ ความรักที่มีต่อกันอย่างมั่นคง เป็นรักที่จริงใจ ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง ดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์ เป็นความรักที่สมบูรณ์แบบ

เวลา 10 ปี ที่ครองรักร่วมกันมา สะท้อนถึงความมีคุณธรรม ที่ทั้งคู่มอบให้กันสม่ำเสมอ ไม่บกพร่อง ทั้งคู่จึงอยู่ร่วม อย่างรู้เขารู้เรา และเท่าทันต่อกิเลสทั้งปวง ด้วยหัวใจที่หนักแน่นไม่ยอมตกเป็นทาสสิ่งไม่ดี ที่เข้ามาครอบงำชีวิตและจิตใจ

นับเป็นตัวอย่างธรรมะการครองเรือนเบื้องต้น ที่ญาติโยมทุกท่าน สามารถนำไปเป็นแบบอย่าง สะท้อนภาพชัดเจน ถึงความรัก ปรารถนาดี ปราศจากความเห็นแก่ตัว มีเมตตา ไม่ยึดติดถือมั่น ไม่มีเงื่อนไข

เฉกเช่น พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระองค์มีความเมตตาต่อพระเทวทัตเท่ากับพระราหุล เมตตาคือความรักโดยไม่แบ่งแยก คนส่วนใหญ่มองว่าถ้าเป็นลูกฉันก็รัก ถ้าเป็นศัตรูฉันไม่รัก อันนี้เป็นสิเนหะ แต่เมตตาไม่มีเลือก ไม่มีแบ่งแยก เป็นความรักที่ไม่มีประมาณ ไม่มีเงื่อนไข ขณะเดียวกันเมื่อเกิดอะไรขึ้นกับเขา เราก็ไม่ทุกข์เพราะไม่ได้ยึดติดถือมั่นว่าเป็นของเรา 

ญาติโยมทั้งหลาย ถ้าคิดจะเลือกคู่ สิ่งสำคัญคือ การที่คนเราจะอยู่ด้วยกันได้นาน ต้องมีความเหมือน มีความสอดคล้องกัน มีการแบ่งปัน มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เหมือนกัน และต้องมีความศรัทธา มีปัญญาเสมอกัน ก็จะอยู่กันได้นาน หากมีธรรมะเหมือนกันก็จะยึดเหนี่ยวประสานน้ำใจ ให้เป็นหนึ่งเดียว คือต้องมีอุเบกขา วางใจเป็นกลาง ให้เขามีอิสระเป็นตัวของตัวเอง จุดนี้เป็นการแสดงความรักที่ดีที่สุด

ยกตัวอย่างกรณี พระพุทธเจ้าตรัสกับนางวิสาขา หลานนางวิสาขาเสียชีวิต นางวิสาขาเสียใจ พระพุทธเจ้าก็เลยตรัสประโยคนี้ขึ้นมาเพื่อให้นางวิสาขาได้สติ คือความรักให้ความสุขก็จริง แต่สุขกับทุกข์มักจะอยู่ด้วยกันเสมอ

ฉะนั้นเวลาจะรัก ก็รักด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าจะต้องอยู่กับเราไปตลอด ต้องมีความเข้าใจในเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตากำกับด้วย คือถ้าไม่เข้าใจเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาก็จะยึดมั่นว่าเขาจะต้องเที่ยง เขาจะต้องอยู่กับเราไปจนตาย เขาจะต้องให้ความสุขกับเรา หรือว่าเขาจะต้องเป็นของเราคนเดียว

คิดแบบนี้แสดงว่าไม่เข้าใจเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ถ้าเราเข้าใจ เมื่อรักก็จะรักแบบเมตตา ปรารถนาดีกับเขาโดยไม่มีเงื่อนไข หรือไม่ได้คาดหวังยึดมั่นกับเขา

เหมือนกับโยมกินปลา โยมก็ฉลาดที่จะกิน โดยไม่ให้ก้างปลาตำ คนส่วนใหญ่กินแบบไม่มีสติ ก็จะถูกก้างปลาตำ หรือเหมือนกับปลาที่พอเห็นเหยื่อก็ฮุบทันที ทีแรกก็มีความสุข เพราะอร่อย แต่สักพักก็จะเจ็บ เพราะถูกเบ็ดทิ่มปาก
ถ้าโยมมีสติ โยมก็จะไม่ฮุบเบ็ดนั้น หรือถ้าโยมจะกินปลา โยมก็กินปลาอย่างมีสติ ไม่ให้ก้างปลาตำคอ

สิ่งสำคัญเมื่อโยมมีเมตตา ที่เกิดจากปัญญา หรือเข้าใจความจริง ไม่ใช่รักแบบยึดมั่นถือมั่น แต่รักแบบเมตตา ปรารถนาดี อย่างไม่มีเงื่อนไข

ถ้ามีความรักแบบนี้ ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา เราก็ไม่ทุกข์ เพราะโยมรู้ว่ามันเป็นธรรมดา มันไม่เที่ยง ถ้าเข้าใจเช่นนี้ได้ โยมก็สามารถรักเขาได้โดยไม่เป็นทุกข์อย่างแน่นอน!!...ขอเจริญพร

วันจันทร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2557

วัยรุ่นวัยใส ‘น้องไอซ์-บิว’ บนถนนทางโค้ง
จุดไฟ‘อยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ’ ไม่ยึดมั่นถือมั่น
คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม

เจริญพรญาติโยมทุกท่าน จุดไฟในใจคนสัปดาห์นี้ นำเรื่องวัยรุ่นหนุ่มสาว ซึ่งอยู่บนทางโค้ง “ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต” นำมาเล่าขานเป็นอุทาหรณ์สอนใจ จะได้ไม่หมกมุ่นจนลืมตัว หลงผิด เพื่อกันไว้ดีกว่าแก้ แย่แล้วจะแก้ไม่ทัน

ตัวอย่างเรื่องนี้ เกิดขึ้นที่วิทยาลัยอาชีวะศึกษานครปฐม เมื่อผอ. อินดา แตงอ่อน ท่านจัดงานวันเด็กแห่งชาติ นิมนต์อาตมาและพระสงฆ์วัดไผ่ล้อม ไปรับบาตรช่วงเช้า และช่วงกลางวัน จัดกิจกรรมแสดงดนตรี วันเด็กแห่งชาติและคนพันธุ์อา ต้านยาเสพติด เป็นการแสดงดนตรี วงฮิตแมน จากมูลนิธิหลวงพูล วัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม

ก่อนการแสดงดนตรี ผอ.อินดานิมนต์อาตมา ฉันเพลที่ห้องทำงานของท่าน พร้อมทั้งให้เด็กนักเรียน มาประเคนภัตตาหาร

ระหว่างนั้นได้สนทนากับเด็ก ชื่อน้องไอซ์ เขาได้เล่าเรื่องความรักในวัย 19 ปี ซึ่งขณะนี้เรียนอยู่ชั้น ปวส.ปี 1 และมีแฟนเรียนอยู่ชั้นเดียวกัน ชื่อน้องบิว เริ่มจากการเป็นเพื่อน เพราะเรียนด้วยกันมาตั้งแต่ชั้น ปวช.ปี1

ตลอดระยะเวลา 3 ปี ผมยังไม่คิดอะไร เสมือนดูใจ เพราะคิดแบบเพื่อนจริงๆ เมื่อวันเวลาผ่านไป ความใกล้ชิดก่อเป็นความรัก

พอขึ้นปวส.ปี1 มันสื่อได้ว่า เราทั้งสองรักกัน ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ส่วนใหญ่จะช่วยเรื่องการเรียนมากกว่า เพราะเป้าหมายในชีวิตผมและน้องบิว ต้องการเรียนให้จบ อยากให้พ่อกับแม่ภูมิใจ

ถึงเราจะรักกัน เป็นแฟนกัน แต่การเรียนไม่เคยเสียหาย นานๆทีก็ไปเที่ยวบ้าง ส่วนใหญ่ถ้าไปต่างจังหวัด ก็ไปกันเป็นกลุ่ม ไม่เคยไปไหนสองต่อสอง

ประทับใจมากที่สุด ตอนไปเที่ยวทะเล ผมรู้สึกดีมีความสุขมากๆ วันนั้นผมบอกรักน้องบิว อย่างเป็นทางการ
ความใกล้ชิด ความผูกพัน ความเป็นเพื่อน พออยู่ด้วยกันนานๆ ผมถูกตำหนิจากน้องบิว เรื่องความไม่เป็นผู้นำ มีนิสัยเหมือนเด็ก เขาบอก ผมยังไม่โต และเมื่อไหร่จะโตเสียที ซึ่งตรงนี้ผมก็ทราบ คือความบกพร่อง ผมพยายามแก้ไข แต่ไม่สำเร็จ เพราะส่วนตัว เป็นคนขี้เล่น ยิ้มง่าย ใจดีกับทุกคน

สุดท้ายน้องบิว ประกาศลดฐานะจากแฟน ให้เป็นได้แค่เพื่อนสนิทเท่านั้น สรุปเป็นเพราะผม ไม่มีความเป็นผู้นำเพียงพอ

แต่ในความรู้สึกที่ผมบอกเขาไป ทำไมน้องบิวไม่ยอมปรับมาหาผมบ้าง อยากน้อยพบกันครึ่งทางก็ยังดี แต่น้องบิวต้องการให้ผมปรับเข้าหาเขาเพียงอย่างเดียว

ถึงวันนี้ผมยังรักน้องบิวเสมอ ไม่เปลี่ยนแปลง ถึงแม้จะโดนลดสถานะจากแฟนมาเป็นแค่เพื่อนสนิทก็ตาม

เรื่องราวของน้องไอซ์กับน้องบิว เป็นการเล่าจากฝ่ายชายเพียงฝ่ายเดียว และน้องไอซ์ก็เป็นเด็กวัยรุ่น ยังไม่มีวุฒิภาวะเต็มร้อย มีเพียงความบริสุทธิ์ใจในความรักเท่านั้น

อาตมาเมื่อได้ฟัง จึงจุดไฟให้แสงสว่าง.... ณ เวลานี้ เธอทั้งสองคน ควรคิดเรื่องเรียนก่อนเป็นอันดับแรก อนาคตยังไปอีกยาวไกล คบกันเป็นเพื่อนได้ แต่อย่าลงลึกรายละเอียด ให้มากเกินไป ควรแบ่งเวลาให้น้ำหนักด้านการเรียนดีกว่า

มองให้ไกลไปที่อนาคต มุเรียนให้จบ จะได้หางานทำ เอาตัวเองให้รอด จากนั้นก็เลี้ยงพ่อแม่ ตอบแทนบุญคุณ...

สรุปคือความห่วงใยในเพื่อน เป็นเรื่องดี แต่ต้องมีขอบเขต ถึงแม้ไม่ได้เป็นแฟนกันแล้ว ควรให้ใจแบบ “อยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ” ให้ความปรารถนาดี ย่อมสุขใจทั้งสองฝ่าย ไม่มากก็น้อย

อาตมาขอแนะนำ วัยรุ่นทั้งหลายที่มีความรัก แล้วกำลังมีทุกข์ จงอย่ากลัวว่าความทุกข์นั้น จะมีตลอดไป อย่าคิดว่าไม่มีทางแก้ไข หนทางเร็วที่สุดคือ เปลี่ยนอารมณ์ ด้วยความเข้าใจ ด้วยความรู้ที่ไตร่ตรองเองได้

ในกาลามสูตรพระพุทธเจ้าทรงสอนไม่ให้เชื่อด้วยเหตุ 10 อย่าง เช่นด้วยเหตุผลว่าผู้สอนเป็นครูของเรา และอื่นๆ รวมสิบประการ แต่จะให้เชื่อก็ต่อเมื่อไตร่ตรองรู้ได้ด้วยตนเองจึงเชื่อ การจะไตร่ตรองให้รู้ได้ด้วยตนเอง จะมีได้ก็ต่อเมื่อเรามีประสบการณ์ในเรื่องนั้นมาแล้ว ดังนั้นประสบการณ์ในอดีตจึงเป็นธรรมะที่เราตรึกตรองได้เช่นกัน

เมื่อความทุกข์ที่สุดมาถึง สิ่งที่ควรระลึกถึงมีสองสามอย่างคือ หนึ่ง อย่ากลัวว่าความทุกข์นั้นจะมีตลอดไป เพราะมันจะไม่คงอยู่ตลอดไป เดี๋ยวมันก็จางไป สอง อย่าคิดว่าไม่มีทางแก้ไขให้ดีขึ้นได้ เพราะจะมีทางแก้ไขเสมอ เพียงแต่ตอนนี้ยังนึกไม่ออกเท่านั้น สาม อย่านึกว่าต่อไปนี้เราจะไม่ได้รับสิ่งดีๆ อีก เพราะเมื่อทุกข์ผ่านไป เราจะยังมีความสุข สนุกสนาน ได้อย่างเดิมแน่นอน และสุดท้ายคือ ให้นึกถึงคนข้างหลัง ที่เขาจะต้องเศร้า ได้รับการกระทบกระเทือน จากการกระทำด้วยอารมณ์ของเรา เมื่อทุกข์ที่สุดมาถึงสิ่งที่เราต้องทำทันที ในขณะที่ยังตั้งตัวปรับใจไม่ทันก็คือ รีบหาทางเปลี่ยนอารมณ์ เมื่อเราไปเจอคนอื่นทุกข์สิ่งที่ต้องทำอันดับแรกคือช่วยเปลี่ยนอารมณ์เขาก่อน จากนั้นสติจึงจะตามมา

ความทุกข์ที่มากสุดจะแก้ได้เร็วและง่ายที่สุด ด้วยการเปลี่ยนอารมณ์ ดึงอารมณ์ออกจากสถานการณ์นั้นก่อน อาจง่ายๆ เพียงแค่ทำอะไรที่ชอบ ฟังเพลง ดูหนัง หาของอร่อยกิน ชวนเพื่อนไปเที่ยว ชวนคุยเรื่องอื่น ลืมเรื่องทุกข์ไปชั่วคราวก่อน บางทีก็เบาบางได้เอง ที่สำคัญถ้ามีเพื่อนดี จะเบาบางไปได้มากที่สุด ที่ไม่ควรทำคืออย่าไปดื่มเหล้าเบียร์ เพราะการกินเหล้าก็ดับทุกข์ได้ระดับหนึ่งเท่านั้น แต่จะมีข้อเสียกว่าคือ จะยิ่งโกรธง่าย น้อยใจง่ายและโมโหง่ายกว่าเดิม และไม่มีสติยับยั้งความโกรธ หรืออารมณ์ที่รุนแรงเหล่านั้น เมื่อเปลี่ยนอารมณ์ได้ ใจจะเข็มแข็งมากพอที่จะแก้ในขั้นต่อไป
ขั้นต่อไปคือพยายามตั้งใจใช้สติคิดว่าจะแก้ได้อย่างไร อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล สายไปแค่ไหนแล้วและแก้ได้หรือไม่ ทำให้ดีขึ้นได้หรือไม่ ถ้าแก้ไม่ได้ ขั้นสุดท้ายคือ ทำให้ใจของโยมยอมรับสิ่งนั้นให้ ได้ ใจของโยมจะยอมรับได้ คิดได้ ปลงตกได้ต้องมีสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ

สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น นั่นเป็นเพราะในความเป็นจริง สิ่งทั้งหลายย่อมไม่ได้ดั่งใจเรา มีความไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนไปได้ตลอดเวลาด้วยเหตุและปัจจัย จึงไม่สมควรที่จะไปหลงยึดมั่นหมายว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา หรือเป็นของของเรา สิ่งทั้งหลายไม่ได้ดั่งใจทั้งนั้น ไม่ว่าเราจะเป็นใคร ต่างก็มีความทุกข์ประจำตัวประจำอยู่ทุกคนทั้งสิ้น

บางคนแฟนตายไป เสียใจแทบตายตาม ผ่านไป 3 ปี มีแฟนใหม่แล้ว มีความสุขดีมากเลย ความทุกข์จึงเป็นของไม่เที่ยงเสมอ เช่นเดียวกับความสุข เพียงแต่ว่าตอนทุกข์ ให้ผ่านวันเวลาไปได้ ไม่ด่วนตายไปเสียก่อน เมื่อทุกข์ผ่านไป จะมีสิ่งดีๆ ตามมาได้แน่นอน

เมื่อเราทุกข์หรือพบคนที่ทุกข์ อย่าลืมเปลี่ยนอารมณ์ ตั้งสติหาทางแก้ไข ใช้ความดี เอาชนะสิ่งไม่ดี ทุกข์ย่อมไม่เที่ยง ย่อมผ่านไป เป็นธรรมดา และโยมก็มีโอกาสที่จะได้รับสิ่งที่ดี ได้ปรับปรุงตนเป็นคนดีเสมอ หวังว่าเรื่องของน้องไอซ์กับน้องบิวนี้ จะเป็นประโยชน์กับญาติโยมวัยรุ่นวัยใสทุกท่าน ไม่มากก็น้อย!!!-....ขอเจริญพร

พิธีขอขมากรรม ส่งท้ายปีเก่ารับพรปีใหม่

บทความที่ได้รับความนิยม