ร่วมบูชาวัตถุมงคล วัดไผ่ล้อม นครปฐม

วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

อาจารย์ตาบอด ‘สู้ชีวิต ปลง ไม่ท้อแท้’ เรียนปริญญาเอก 
หลวงพี่จุดไฟ ‘คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้’
คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม

เจริญพรญาติโยมพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สัปดาห์นี้อาตมาขอนำพาไปสัมผัสกับวิถีการต่อสู้ชีวิต เพื่อมุ่งมั่นทำความดี โดยไม่ท้อแท้ และเปี่ยมด้วยหัวใจที่เด็ดเดี่ยว สามารถจัดการกับอุปสรรคปัญหา“น่าชื่นชมยิ่ง”

อาตมานำเรื่องของ “อาจารย์ตาบอด” ท่านหนึ่ง ล่าสุดโยมได้เดินทางมากับแม่และญาติๆ มีเป้าหมายมุ่งตรงมา “วัดไผ่ล้อม”

ปรารถนามากราบสักการะสังขาร “หลวงพ่อพูล” ผนวกกับอยากเจออาตมา ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดี ที่โยมใฝ่ใจในคำสอนของ “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”

โยมผู้เป็นแม่ บอก “ดีใจมาก ที่ได้เจอหลวงพี่น้ำฝน” และได้เล่าเรื่องราวชีวิตให้ฟัง.... “โยมเป็นคนจังหวัดขอนแก่นโดยกำเนิด สามีเป็นคนจังหวัดมหาสารคราม รับราชการทั้งคู่ สามีเสียชีวิตเมื่อปีพ.ศ.2546 ปัจจุบันเกษียณแล้ว”

โยมมีลูกชายเพียงคนเดียว ช่วงอายุ 5 ปี ป่วยเป็นโรคลมชัก ส่งผลให้ประสาทตามีปัญหา จากนั้นก็มองไม่ชัดเจน เห็นเป็นภาพเลือนๆ ระหว่างนั้น เรียนอยู่ชั้นอนุบาล อาจารย์ใหญ่ท่านเมตตา ประสานไปยังโรงเรียนสอนคนตาบอด ช่วยอนุเคราะห์ไปเรียนต่อจนจบชั้นม. 6 และมีโอกาสได้ไปสอบที่โรงเรียนขอนแก่นวิทยาคม ในสายศิลป์ ด้วยบุญวาสนาพาไป ลูกชายตาบอดคนนี้ ได้ไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ ด้วยทุนรอนของพ่อแม่ที่สะสมไว้....

“ถึงแม้ลูกชายจะตาเสีย อยู่ในโลกมืด แต่เรื่องการเรียนไม่เคยเสีย เป็นเด็กดีที่เรียนเก่ง ใฝ่รู้คู่คุณธรรมมาโดยตลอด”
จากนั้นได้เดินทางกลับมาเมืองไทย เข้าเรียนในระดับปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร และเป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ที่วิทยาลัยราชสุดา มหาวิทยาลัยมหิดล

เส้นทางชีวิต ขณะเรียน ก็ลำบาก เพราะตาบอด ร่วมถึงขณะที่เป็น ครูบาอาจารย์ ก็มีอุปสรรคปัญหาเช่นกัน!!!

การที่เกิดมาเป็นคนมองโลกไม่เห็น มันเป็นความทรมานทุกขณะของการก้าวย่างในชีวิต การเดินทางไม่สะดวก พูดคุยกับใคร ก็สื่อสารได้ไม่สมบูรณ์แบบ

“ปัจจุบันโยมศึกษาระดับปริญญาเอก ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร มีบ้านพักอยู่ย่านทวีวัฒนา”

เคยมุ่งหวังที่จะมีคู่ครอง แต่ก็ไม่สมปรารถนา วันหนึ่งเธอก็จากลาไปไม่หวนกลับ... โยมต้องกลายเป็นคนตาบอด ที่ต้องอยู่คนเดียว มีแม่ และญาติ มาอยู่ด้วยบ้างในบางโอกาสเท่านั้น

โยมอยู่ในวัย 52 ปี เรียนรู้ และสู้อยู่กับความจริง “ชีวิตไม่ใช่นิยาย แต่ชีวิตคือการต่อสู้” ทั้งต่อสู้กับตนเอง และสภาพสิ่งแวดล้อม

เมื่อมีโอกาสได้พบหลวงพี่น้ำฝน โยมบอก “ดวงตาเริ่มเห็นธรรม ยอมรับกับหลากสิ่งในความเป็นจริงมากขึ้น”

อาตมาแนะให้ “ปลง” ธรรมะสั้นๆกระชับๆ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้คุณเสมอ ถ้าใช้เป็น?!? รับรองไม่เห็นโทษอย่างแน่นอน....

“ปลง” คือไม่ท้อ ไม่ถอย มองสังขารเป็นตัวตั้ง อย่าไปรั้งมันไว้ ปล่อยมันไปตามธรรมชาติ สังขารเขาให้เรามาแค่นี้ ถึงจะไม่สมบูรณ์ แต่เราก็เติมเต็มให้มันไม่พร่องได้

ถ้าวันนี้โยมยอมรับทุกเรื่อง ที่เดินเข้ามาในชีวิตได้ โยมก็อยู่ได้อย่างมีความสุข ถ้ายอมรับได้ ทุกอย่างจบ แต่ถ้ายอมรับไม่ได้.... ไม่วันนี้ ก็วันหน้า ความจริงที่สร้างไว้ตั้งแต่แรกเกิด “พังแน่นอน”

เรื่องอาจารย์ตาบอด ผู้ไม่ยอมแพ้ท่านนี้ อาตมาถือเป็นหลักการที่ดีในการใช้ชีวิต ทั้งเรื่องของความมีคุณธรรม การอุทิศตนเพื่อสังคม ความอดทนต่อความยากลำบาก เพื่อต่อสู้กับอุปสรรคนานับประการ สามารถเป็นแบบอย่างในความพยายาม และความมุ่งมั่นที่จะนำพาชีวิตของตนเองและผู้อื่นให้ก้าวไปข้างหน้าได้อย่างน่าสนใจ

“นับเป็นคนหัวใจแกร่ง” และหากโยมท่านใดกำลังท้อแท้ เบื่อหน่ายกับปัญหา ที่ถาโถมอยู่รอบตัว ก็ควรนำเรื่องราวของอาจารย์ท่านนี้ไปเป็นบทเรียน “สู้ไม่ถอย” และร่วมกันสร้างกำลังใจดี ๆ ที่จะช่วยปลุกพลังโยม ขึ้นมาอีกครั้ง หากโยมยึดมั่น ศรัทธาในสิ่งดี ๆ ที่กำลังทำ และก้าวต่อไปอย่างมุ่งมั่น เหมือนกับอาจารย์ท่านนี้....

แม้ร่างกายจะเป็นอุปสรรค แต่หัวใจนั้นกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความ มุ่งมั่น พิสูจน์ให้คนรอบข้างเห็นว่า โยมสามารถทำได้จริง ด้วยการฝึกฝนอย่างหนักหน่วง เหนือกว่าคนร่างกายครบ 32

โยมก้าวออกไปต่อสู้ในโลกของการทำงาน เป็นครูบาอาจารย์ ทำให้คนพิการ และคนปกติทั่วไปภาคภูมิใจ และพร้อมปรบมือส่งเสียงเชียร์ให้กำลังใจตลอดไป

ไม่บ่อยนักที่จะเห็นอาจารย์ตาบอด ที่มีจุดมุ่งหมาย เพื่อสั่งสอนวิชาความรู้ให้กับอนาคตของชาติ แต่โยมก็ คือคน ๆ หนึ่งที่คิดเช่นนั้น ทุก ๆ วัน ในการสอน เพื่อขัดเกลาลูกศิษย์ให้มีวิชาความรู้ติดตัว
โยมเป็น "ครู" ของโรงเรียน ที่ใช้ชีวิตอยู่กับเด็ก ๆ สอนทั้งวิชาการ และกิจกรรมฝึกทักษะชีวิต เพื่อ ให้เด็ก ๆ ช่วยเหลือตัวเองได้ในอนาคต ซึ่งแรงผลักดันที่ทำให้ โยมอุทิศชีวิตและทุ่มเทกายใจเพื่อเด็ก ๆ เหล่านี้ เป็นเพราะอยากจะเติมเต็มโอกาสให้กับเด็ก ด้วยจิตวิญญาณของความเป็นครูผู้ให้อย่างแท้จริง

โยมเต็มที่ในสิ่งที่ทำ มุ่งมั่นเพื่อเด็ก มุ่งมั่นที่จะเปิดโอกาสให้เด็กมากกว่าที่อยากจะเป็นครูมืออาชีพ

บัดนี้โยมได้ดำเนินชีวิตทุกอย่าง อยู่กับโลกแห่งความจริง ขยันเรียนมาตลอดชีวิต เพื่อหวังให้การศึกษาช่วยยกระดับความคิด และการปฏิบัติให้ดีขึ้น และความตั้งใจจริงของโยม ทำให้ขวนขวายคว้าปริญญาเอกให้สำเร็จ

และปฏิเสธไม่ได้ว่า คุณแม่ของโยม คือคนสำคัญที่ช่วยผลักดัน ให้โยมเป็นอย่างทุกวันนี้

โยมทุกท่านจงจำไว้ "คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้" เพราะจากต้นทุนชีวิตที่ติดลบ เกิดมากลายเป็นเด็กตาบอด แต่มาถึงวันหนึ่ง โยมตัดสินใจเลือกเดินในเส้นทางที่จะเป็นคนดี ใฝ่เรียน กระทั่งประสบความสำเร็จ

ไม่มีเหตุผลอะไร ที่จะต้องมานั่งท้อแท้กับโชคชะตาที่เกิดขึ้น เพราะยังมีคนในครอบครัว ที่คอยให้กำลังใจ พร้อมลุกขึ้นสู้กับชีวิตใหม่อีกครั้ง ด้วยการสอบเข้าไปเป็นนักศึกษา ดังใจปรารถนา โดยหวังจะจบออกมาทำงานเป็น ครู และประกาศให้คนในสังคมเปิดใจยอมรับ และให้โอกาสกับคนพิการมากขึ้น 

เมื่อความพิการ ไม่ใช่ข้ออ้างในการเดินหน้า ทำตามความฝัน ด้วยการกล้าลุกขึ้นสู้กับตัวเอง และความพยายามนั้น ส่งผลให้ความสำเร็จ มาเป็นรางวัลชีวิต โดยสิ่งหนึ่งที่อาตมาเห็นได้จากตัวโยมก็คือ ความกล้าหาญที่จะต่อสู้กับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น บวกกับการมีทัศนคติเชิงบวก ทำให้ชีวิตของโยมมีความสุขไม่แตกต่างจากคนทั่วไปเลย!!! ....ขอเจริญพร



วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

‘โกหก กะล่อน ปลิ้นปล้อน หลอกลวง’
อาตมาเคยโดนมาหมดแล้ว โยมเอ้ย!?!
คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม

เจริญพรญาติโยมพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สัปดาห์นี้อาตมานำเรื่อง “การหลอกลวง” มาเล่าสู่กันฟัง เพื่อเป็นอุทาหรณ์สอนใจ และเป็นเหตุการณ์จริง ที่เคยเกิดกับอาตมา มาแล้วเมื่อเร็วๆนี้!!!

มูลเหตุเกิดจาก มีโยมสีกาท่านหนึ่ง อายุประมาณ 30 ปี สมานสมัครเข้ามาเป็นลูกศิษย์วัดไผ่ล้อม อย่างเต็มตัว โดยใช้เวลาไม่นาน เข้ามาทำความรู้จัก ฝากเนื้อฝากตัว จวบจนสนิทชิดเชื้อ และทางวัดก็ให้ความไว้วางใจมากที่สุดเช่นกัน

เล่าย้อนไปห้วงใหม่ๆ โยมช่วยงานที่วัดด้วยความ “เสียสละ เมตตาปราณี มีน้ำใจ” มององค์รวม ถือว่านิสัยใจคอดี ขยันขันแข็ง ช่วยเหลืองานสารพัด จัดเข้าประเภท “คนใจดีมีบุญ”

โยมเป็นคนใจกว้างขวาง ชอบเลี้ยงเพื่อนฝูง เป็นที่รักของทุกคน และชอบคุย เอ่ยอ้าง “ทางบ้านฐานะดี”

การคุยถึงฐานะทางบ้านว่าร่ำรวย ไม่ใช่เรื่องผิด หรือแปลกแต่ประการใด ถ้าเป็นความจริง

แต่ถ้านำเรื่องโกหกมาคุยโม้โอ้อวด แล้วนำสิ่งที่พูดนั้น นำร่องเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ ตรงนี้อาตมาถือว่าอันตราย!!


ว่ากันตามเนื้อผ้า แรกๆก็ไม่มีอะไร แต่พออยู่ไปนานๆ เริ่มมีพฤติกรรมส่อให้รู้ว่า บางคราก็โกหก รวมถึงโยมมีปัญหาเรื่องเงินๆทองทอง เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ

หลังจากนั้นไม่นาน โยมท่านนี้ ก็ออกจากวัดไป ซึ่งอาตมาก็มิได้ตำหนิติเตียนอะไร เพราะถือว่า ชาติที่แล้ว เราอาจจะไปเอาของเขามา ชาตินี้เขาเลยมาตามทวงคืน

อาตมาพยายามสอนลูกศิษย์ท่านอื่นๆ ที่โดนหลอกในเรื่องเดียวกันนี้ อย่าไปคิดอะไรมาก มันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตมนุษย์ ที่ย่อมต้องเจอทั้งคนดีและคนไม่ดีบ้าง เป็นธรรมดา แต่สำหรับส่วนตัวอาตมา เจอมาหมดแล้ว ทั้ง “โกหก กะล่อน ปลิ้นปล้อน หลอกลวง” ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ ที่สำคัญต้อง “ปลง” ให้ได้ ถึงจะมีความสุขอย่างแท้จริง

ละครเรื่องนี้ยังไม่จบ ไม่นานก็มีข่าวไม่ค่อยดีตามมาอีก มีลูกศิษย์อีกท่านหนึ่ง อยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี โทร.มาร้องห่มร้องไห้ บอกว่าโดนโยมท่านนี้หลอกให้ร่วมลงทุนเปิดร้านขายกาแฟ ขายเสื้อผ้าสำเร็จรูป แล้วก็เบี้ยวเงิน สูญเสียทรัพย์สินไปพอสมควร

แต่อาตมาไม่ได้ลงลึกรายละเอียด เพียงปลอบโยนให้แสงสว่าง ไม่ต้องการให้เครียด เพราะเรื่องลักษณะนี้ จริงๆแล้ว “ตบมือข้างเดียวไม่ดัง” ถ้าเราไม่ไปร่วมสังฆกรรมกับเขา เราก็ไม่เจ็บ ไม่โดนหลอก ด้วยเหตุที่เราเชื่อคนง่าย มั่นใจในตัวเขามากเกินไป หลงในคำหวาน หลงในรูป รส กลิ่น เสียง สุดท้ายก็เจ็บไปตามๆกัน

อาตมายกตัวอย่าง คนในสังคมไทย ที่ปากหวานก้นเปรี้ยว ล้วนมีมากมาย หรืออีกประเภทคือ หน้าไหว้หลังหลอก ต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง มันเป็นปกติของโลกมนุษย์ ต่างประเทศก็เป็น ศาสนาอื่นก็เป็น มิใช่เฉพาะคนพุทธเท่านั้น
การที่โยมจากกาญจนบุรี โทร.มาร้องไห้ หลวงพี่ก็ได้แต่ปลอบ เรื่องแบบนี้ ถ้าคิดในมุมวิบากกรรม ก็สบายใจ แต่ถ้าเอาหลักเหตุผลที่แท้จริง ทุกคนมีโอกาสถูกหลอก เพราะการตัดสินใจเชื่อหรือไม่เชื่อของคนเรานั้น มาจากการตัดสินด้วยหลัก ใช้เหตุผล กับ ตัดสินจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ที่สามารถเห็นหรือสัมผัสได้

ส่วนผู้ที่มาหลอก เขามีวิธีชวนเชื่อสารพัด ทำให้คล้อยตามได้อย่างง่ายดาย เพียงเพราะเขาเชี่ยวชาญหลอกบ่อย คนจึงหลงเชื่อ

ถ้าโยมมีสติ มีเหตุผลในการไตร่ตรองรับฟัง เขาไม่สามารถหลอกได้อย่างแน่นอน

“ญาติโยมทั้งหลายจงจำไว้ ทุกสิ่งล้วนมีข้อบกพร่อง ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์พร้อม แม้แต่ตัวเรา”

ดังนั้นการตัดสินสิ่งใด ต้องพิจารณา วางใจเป็นกลาง มองภาพรวม ไม่เพ่งเล็งเพียงบางมุมบางด้าน

มิเช่นนั้นโยมก็จะกลายเป็นอีกคนหนึ่ง ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นคนมีความรู้ แต่กลับถูกหลอกโดยไม่รู้ตัว

ทุกคนล้วนมีข้อบกพร่อง เมื่อมีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้น อย่าด่วนตัดสินใคร เพราะนั่นอาจเป็นการใช้เหตุผลที่ขาดการมองภาพรวม รอยตำหนิเพียงเล็กน้อย หากใช้แว่นขยายมาส่อง ย่อมมองเห็นแต่ความไม่งาม
ในขณะที่ ถ้าเราถอยออกมามองในมุมกว้าง มองคนรอบข้าง ด้วยความเข้าใจ เราก็จะสามารถประคับประคอง ให้ทุกคนในครอบครัว อยู่ร่วมกันด้วยความปรองดอง

มุมมองต่อสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเราก็เช่นกัน โยมต้องมีสติในการรับข้อมูล เพราะกระบวนการในโลกทุกวันนี้ มีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง จนแทบจะกล่าวได้ว่า หากต้องการให้ผู้คนชอบสิ่งใด เห็นดีเห็นงาม หรือเห็นความจำเป็นในสิ่งใด ก็สามารถทำได้ทั้งสิ้น ด้วยกระบวนการตอกยํ้าชี้นำให้คนคิดตามนั่นเอง!!!
ทำนองเดียวกัน ในเรื่องของครอบครัว ต้องมองให้เห็นทั้งข้อดี ข้อเสีย อีกทั้งสิ่งไหนสำคัญ สิ่งไหนไม่สำคัญ เหมือนการที่เรามองต้นไม้แบบมองให้เห็นทั้งต้น มิใช่มองแค่ดอกผล หรือกิ่งใดกิ่งหนึ่งของมัน
เมื่อโยมพิจารณาอย่างมีหลักการเช่นนี้ คนนอกมีวาทศิลป์ดีแค่ไหน ก็ไม่อาจชักจูงหลอกลวงเรา หรือคนในครอบครัวเราได้

แม้แต่ในเรื่องการเข้าวัดทำบุญ ก็ยังต้องอาศัยมุมมองที่ถูกต้อง คนเข้าวัดก็คงเคยได้ยินคำพูดทำนองว่า วัดนั้นดี วัดนี้ไม่ดี วัดนั้นสอนดี วัดนี้สอนไม่ดี

การพิจารณาเรื่องนี้ โยมต้องรู้ก่อนว่า หน้าที่หลักของวัด คืออบรมสั่งสอนคนให้เป็นคนดี

เพราะฉะนั้นจะดูว่า วัดดีหรือไม่ดี ก็ให้ดูว่าวัดนั้นสามารถสอนผู้คนให้เป็นคนดีมีศีลธรรมหรือไม่

บอกว่าวัดดี แต่ไม่สามารถสอนผู้คนให้เป็นคนดีได้ อย่างนี้ก็พิกลอยู่ หรือถ้าบอกว่า วัดนี้สอนไม่ดี แต่คนเข้าวัดนี้กลับเป็นคนดีมีศีลมีธรรมทั้งนั้น ก็ต้องเอะใจแล้วว่า คนที่พูดเช่นนั้น อาจเป็นนักโฆษณาชวนเชื่อ ที่ใช้เหตุผลแค่บางส่วน มาชักจูงให้คนคล้อยตามไปในทางที่ไม่ถูกต้อง
การตัดสินเรื่องนี้ จึงต้องมองภารกิจหลักของบุคคลผู้นั้น องค์กรนั้น ว่ามีหน้าที่อะไร แล้วเขาสามารถทำให้บรรลุเป้าหมายได้หรือไม่ มีข้อดีอย่างไร ข้อเสียอย่างไร มีข้อบกพร่องอะไรบ้าง และมีผลต่อองค์รวมแค่ไหน หากใช้เหตุผลรอบด้าน ด้วยความรอบคอบ โยมก็จะไม่ถูกหลอกง่าย ๆ

การถูกหลอกลวง โดยสรุปคือ โยมต้องตัดสินด้วยความจริงที่เกิดขึ้นกับชีวิต ไม่ใช่การชวนเชื่อต่างๆนานา ต้องมองให้เห็นความจริง และควรเริ่มต้นด้วยการศึกษาหลักธรรมในพระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธองค์ทรงสอนให้เห็นภาพรวมเสมอ
“ธรรมะแต่ละเรื่อง ล้วนให้ภาพรวมที่ครบถ้วนบริบูรณ์”

การหมั่นศึกษาหลักธรรมในพระพุทธศาสนา และปฏิบัติสมาธิ สวดมนต์ อย่างสมํ่าเสมอ คือวิธีที่ดีที่สุด ที่จะทำให้ชีวิตเรา ไม่ถูกหลอกลวงอีกต่อไป...ขอเจริญพร

วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ฉิบหายแน่! ไฟกับไฟ ปะทะกันก็บรรลัยกัลป์
“ไอผัวก็ถูก อีเมียก็ถูก” แล้วใครผิดล่ะ!?!

คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม
เจริญพรญาติโยมทุกท่าน ฉบับนี้จั่วหัวร้อนแรงตามกระแสสถานการณ์บ้านเมือง ในทางตรงกันข้าม กระแสร้อนแรงภายในบ้าน ที่เป็นครอบครัว หลายบ้านออกอาการ ร้อนเป็นไฟ เช่นเดียวกัน

เมื่อ “ไฟกับไฟ เจอกันเมื่อไร ย่อมบรรลัยกัลป์” อย่างแน่นอน

ญาติโยมหลายท่าน อ่านหัวแล้ว อาจรู้สึกว่า ทำไม “ไฟ” ช่างโหดร้าย น่ากลัวถึงขั้นนี้เชียวหรือ ขึ้นชื่อว่า “ไฟ” ย่อมร้อนแสบ เจ็บปวดทรมาน แต่ถ้าเป็น “ไฟ” ที่ให้แสงสว่างภายในบ้าน ภายในใจคน ย่อมเกิดประโยชน์มหาศาล เสริมสร้างพลังกำลังใจ ในการทำงานประกอบอาชีพ ส่งผลดีในทางดำเนินชีวิตรอบด้านครบวงจร

แต่ถ้าเป็น “ไฟรัก ไฟร้าย” เจอกันเมื่อไหร่ ก็ฉิบหายเมื่อนั้น

ฉะนั้นเรื่องในสัปดาห์นี้ จึงหนีไม่พ้นสามีภรรยา ที่ใช้ชีวิตร่วมกันมายาวนาน ย่อมมีทั้งสุขและทุกข์ ผสมเศร้าเหงาเคล้าน้ำตา บางคราก็ทะเลาะเบาะแว้ง คละกันไป ถือเป็นเรื่องธรรมดาสามัญของชีวิตคู่

การอยู่ด้วยกัน เหมือน “ลิ้นกับฟัน” กระทบกระทั่งกันบ้าง เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าหนักเกินไปกว่านี้ หรือถ้ากระทบกระแทกเสียดทานกันบ่อยๆ มันก็ไม่ดี

โบราณว่า “น้ำหยดลงหิน ทุกวันหินมันยังกร่อน แต่หัวใจอ่อนๆ จะทนได้อย่างไร”

เหตุการณ์เรื่องนี้ โฟกัสไปที่ลูกศิษย์ของอาตมาท่านหนึ่ง โยมเป็นเจ้าของร้านขายก๋วยเตี๋ยวปลาแม่กลอง (สดทุกวัน) ร้านตั้งอยู่ที่ริมถนนปิ่นเกล้า – นครชัยศรี กม.31-32 ต.ขุนแก้ว อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม

ร้านนี้ขายดีมาก เพราะของเขา สด สะอาด บริการดี ส่งผลให้ปัจจุบันมีลูกค้ามากมาย ค้าขายฐานะดีขึ้นตามลำดับ

ที่สำคัญภรรยา เป็นคนขยันขันแข็ง ช่วยเหลือสามีขายก๋วยเตี๋ยว ลุยงาน หนักเอาเบาสู้ ที่ผ่านมาสู้ชีวิต ล้มลุกคลุกคลาน กว่าจะมีวันนี้ ผ่านร้อนผ่านหนาว มาครบถ้วนกระบวนความ

ฝ่ายสามีก็จัดเข้าประเภท คนดี คนขยัน ตั้งใจทำมาหากิน เป็น “ช้างเท้าหน้า เป็นหัวหน้าครอบครัว รักภรรยารักลูกสุดหัวใจ”

แต่ในความเป็นมนุษย์ ย่อมไม่มีใครสมบูรณ์ไปเสียทุกเรื่อง ส่วนใหญ่ล้วนต้องมีขาดตกบกพร่องกันบ้างเป็นธรรมดาสามัญ

เรื่องแบบนี้ในครอบครัว ต้องช่วยกันเยียวยา ช่วยกันตักเตือน ช่วยกันสอนสั่งอบรม “สามีภรรยาก็เหมือนคน คนเดียวกัน ต้องเข้าใจซึ่งกันและกันทุกเรื่อง ทั้งในบ้านและนอกบ้าน”

หัวใจของเรื่องนี้ พุ่งประเด็นไปที่สามี ที่มีจุดอ่อน คือ ชอบดื่มสุราเกือบทุกวัน.... ทุกเย็นต้องไปดื่มกับเพื่อนๆ ในวงเหล้าเพื่อนก็มักจะยุแหย่ หาว่ากลัวเมีย ขี้หงอ พอเหล้าเข้าปากก็ลำพอง เพื่อนเชียร์ก็ออกอาการคึก ไม่กลับบ้าน กินต่อ เพราะกลัวเพื่อนดูถูก!

สุดท้ายเสียคน หลงกลเพื่อน ซึ่งจริงๆแล้วพวกนี้คือเพื่อนกินเพื่อนกัน มีความหวังดี แต่ประสงค์ร้าย ยิ่งรู้ว่ารวย ก็อยากให้เลี้ยงดูปูเสื่อ และบางโอกาสอาจขอยืมเงิน ซึ่งล้วนเป็นเรื่องเสียหายทั้งสิ้น!

สำหรับเรื่องดื่มสุรา ภรรยาไม่เคยว่า แต่พอดื่มแล้ว สามีติดลม กินยาว กินแล้วไม่อยากเลิก บางวันเลยเถิด ฉลองกันยันสว่างคาตา

ภรรยาทนไม่ไหว ไปตามเรียกมาด่าทอ กันบ้าง เพื่อเป็นการป้องปราม คนไม่เมาก็อาจจะใช้อารมณ์ ใช้คำรุนแรง ส่วนคนเมา ก็พูดไม่มีรู้เรื่อง ขาดสติอยู่แล้วเป็นทุนเดิม

เมื่อเกิดการทะเลาะ มีปากเสียง อารมณ์ร้อนคือไฟ โต้กันไปโต้กันมา ไฟต่อไฟพอมาเจอกันเมื่อไหร่ ก็บรรลัยทันที

พลันที่ภรรยาฟิวส์ขาด โมโหสุดขีด ด่าไล่สามีให้ออกจากบ้านไปเลย สามีพอได้ฟัง ก็โกรธ ไม่ยั้งคิด เตลิดออกจากบ้านทันทีเช่นกัน ผสมผสานด้วยความเครียดแค้น “เพราะต่างตีความหมายผิดทั้งคู่”

สามีพอออกจากบ้านมาแล้ว เริ่มคิดได้ พยายามตั้งสติ แต่ก็ยังงงๆ เพราะยังไม่สร่างจากฤทธิ์สุรา คิดไปคิดมา ไม่มีที่ไป คิดได้ว่ามีหลวงพี่ ก็เลยโทร.หาอาตมา ในช่วงกลางดึก.....

อาตมาให้มาอยู่ที่วัด ดับสติอารมณ์ พอถึงวัด เข้ามาที่กุฏิ กลิ่นเหล้าเหม็นหึ่ง แต่ยังครองสติได้

โยมฟูมฟายบอก “ถูกเมียไล่ออกจากบ้าน”

อาตมาให้นอนพัก อย่างน้อยก็รอให้สร่างเสียก่อน แล้วค่อยมานั่งคุยกัน

ช่วงเช้าพอตื่นขึ้นมา อาตมาให้เรียบเรียงเรื่องราว สรุปได้ใจความ โยมไปดื่ม จนเมามาย ปรากฏว่า เพื่อนแอบโทร.ไปบอกภรรยา

จากนั้นภรรยาก็โทร.ตามให้กลับบ้าน พอกลับมาบ้าน ก็มีปากเสียงกันรุนแรง ภรรยาเอ่ยปากไล่ออกจากบ้าน “มึงจะไปก็ไป ไม่ต้องกลับมา”

ฝ่ายสามีไม่พูดพร่ำทำเพลง หุนหันพลันแล่นออกมาเลย โดยไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง ส่วนหนึ่งก็โมโห ที่ภรรยาไล่

โยมถามอาตมา... แล้วจะทำอย่างไรต่อไปดีครับหลวงพี่ อาตมาบอกเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวอาตมาจะพาไปส่งที่บ้าน แล้วเดี๋ยวเรามานั่งจับเข่าคุยกันทั้ง 3 คน

พอไปถึงบ้านที่ร้านก๋วยเตี๋ยว อาตมาเรียกภรรยามานั่งคุยต่อหน้าสามี โดยมีอาตมาเป็นกรรมการกลาง “ไม่เข้าใครออกใคร”

อาตมาถาม... โยมรู้หรือไม่ การที่เมียบอกไล่เราออกจากบ้านนั้น ในใจเขาคิดอะไรอยู่ โยมสามีตอบ “ไม่ทราบครับ”

อาตมาเริ่มจุดไฟให้แสงสว่าง... “จริงๆแล้วไม่มีผู้หญิงคนไหนหรอก ที่อยากจะให้สามีออกไปจากบ้านจริงๆ นี่เป็นการไล่แบบโมโหมากกว่า”

คนเราถ้าลองมีโทสะโมหะ ถามว่าโทสะคืออะไร โทสะก็คือความโกรธ ความขัดเคือง ความไม่พอใจ เกิดจากมานะ คือความถือตัวถือตน

ความรู้สึกว่าตัวเด่นกว่าเขา ตัวด้อยกว่าเขา หรือตัวเสมอกับเขา เมื่อถูกกระทบเข้า ก็เกิดความไม่พอใจ เกิดโทสะขึ้น

เมื่อเกิดขึ้นแล้วหากระงับไม่ได้ ก็จะนำให้ทำความชั่ว ความไม่ดีต่างๆ เช่น ทะเลาะวิวาทกัน กลั่นแกล้งกัน ทำร้ายกัน ฆ่ากัน เป็นเหตุให้ตัวเองเดือดร้อน โลกก็เร่าร้อน อยู่กันอย่างเดือดร้อน หวาดระแวงกันและกัน

โทสะละได้โดย “เมตตา” คือการมีความรักปรารถนาดีต่อกัน

ส่วนโมหะนั้น คือ ความหลง ความเขลา ความโง่ ความไม่รู้ตามที่เป็นจริง เกิดจากความคิดเห็นที่ผิด จากการไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้ประจักษ์ในเรื่องนั้นๆ ให้ถ่องแท้ถี่ถ้วนก่อน

เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็เป็นเหตุให้ไม่รู้บุญไม่รู้บาป ไม่เชื่อบุญไม่เชื่อบาป ชักนำให้ไปทำความชั่วความไม่ดีต่างๆ เช่น ประมาท ทะเลาะวิวาท แก่งแย่งชิงดี อวดดี เกียจคร้าน บ้ากาม อกตัญญู เชื่อง่าย หูเบา

โมหะ กำจัดได้ด้วย “ปัญญา” คือใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นประจักษ์ในสิ่งนั้นๆ

อาตมาจุดไฟตักเตือนทั้งคู่โดยสรุปก็คือ “อย่าร้อนใส่กัน อย่าแรงใส่กัน เพราะมันไม่ได้ทำให้แก้ปัญหาอะไรได้เลย”

ต้องใจเย็นๆ คุยกันด้วยเหตุผล สามีต้องหมั่นดูแลเอาใจภรรยาบ้าง เพราะถ้าไม่มีภรรยา โยมก็ไม่วันนี้ โชคดีแล้ว อย่าทิ้งโอกาส กว่าจะมีวันนี้ได้ต้องใช้เวลา และที่รวย มีความสุขได้บริบูรณ์ ก็เพราะมีภรรยาที่อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่มาโดยตลอด

และถ้าจะให้เลิกดื่มสุราแบบหักดิบ คงยาก เอาเป็นว่า ต่อไปนี้ถ้าคิดจะดื่ม ก็ดื่มที่บ้าน กินเป็นยา ดื่มเป็นกระสาย ปรับปรุงตัวใหม่ แล้วค่อยเลิกในเวลาที่เหมาะที่ควร

ไม่มีใครดื่มเหล้าแล้วเจริญ มีแต่โรคภัยไข้เจ็บ เสียการเสียงาน เสียผู้เสียคน

ล่าสุดโยมสามี มาหาอาตมา เพื่อรายงานความคืบหน้า ปรากฏว่า ชีวิตครอบครัวดีขึ้น ไม่ทะเลาะกันอีก ดื่มน้อยลง ซึ่งอาตมาก็ต้องคอยประมวลผล

จวบจนวันนี้ถือว่าผ่านการตรวจสอบ สภาพชีวิตดีขึ้น โยมสามี ขยันทำมาหากิน เป็นสามีที่ดี และสามารถต่อยอดไปสอนคนอื่น ที่เคยผิดพลาดเหมือนตนได้ ถือเป็นเรื่องดีที่น่ายกย่อง สำหรับคนที่เคยทำผิด แล้วรู้จักปรับปรุงแก้ไข อาตมาขออวยชัยในความสำเร็จครั้งนี้ ด้วยความจริงใจ!!! .....ขอเจริญพร

พิธีขอขมากรรม ส่งท้ายปีเก่ารับพรปีใหม่

บทความที่ได้รับความนิยม