ร่วมบูชาวัตถุมงคล วัดไผ่ล้อม นครปฐม

วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

‘หมอสำราญ’ ขวัญใจคนจน เมืองนครปฐม
เจ้าของฉายา 60 บาท รักษาทุกโรค-ไม่เลี้ยงไข้
ทุ่มเท เสียสละ จนวาระสุดท้าย ตายในหน้าที่
คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม

พรญาติโยมพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สัปดาห์นี้อาตมาหยิบยกเรื่องที่ไม่เคยเขียนมาก่อน เป็นเรื่องของคุณหมอ ขวัญใจชาวบ้าน ขวัญใจคนยากคนจน โดยเฉพาะคนในจังหวัดนครปฐม ต่างรู้จักคุณหมอท่านนี้เป็นอย่างดี

คุณหมอ อุทิศ “กาย วาจา ใจ” รักษาคนไข้ จวบจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต ในขณะกำลังจะฉีดยาให้คนไข้ ท่านทรุดตัวลงข้างเตียง “แล้วก็หยุดหายใจ” ล้มพับลงไปต่อหน้าคนไข้

ภาพสุดท้ายของคุณหมอ นักสู้เพื่อคนจน ทุ่มเทเสียสละความสุขส่วนตัว เพื่อคนตกทุกข์ได้ยาก ที่มากทวีคูณในแต่ละวัน

และที่สำคัญวันนี้ ในขณะที่อาตมา กำลังเขียนต้นฉบับ อาตมายังอยู่ในอาการ เป็นหวัดคัดจมูก อาการป่วยยังไม่หายดี ต้องฉันยาประคองไว้

โดยปกติเวลาที่อาตมาเจ็บไข้ได้ป่วย ก็ไปหาคุณหมอสำราญ ท่านนี้ ที่คลีนิก ซึ่งตั้งอยู่ตรงบริเวณถนนหน้าพระ ข้างองค์พระปฐมเจดีย์

“คลินิกเวชกรรมหมอสำราญ” สังเกตง่าย อยู่ข้างร้านหนังสือนายอินทร์ และธนาคารออมสิน

สำหรับนิสัยส่วนตัวของคุณหมอสำราญ เท่าที่อาตมาได้สัมผัสตลอด 20 ปีที่ผ่านมา คุณหมอเป็นคนอารมณ์ดี ใจเย็น ใจดี เวลาจะฉีดยาแต่ละครั้ง ท่านจะครวญเพลงจีนทุกครั้ง

ในขณะที่คุณหมอ ให้ยา ฉีดยา แนะนำการดูแลรักษาร่างกาย ท่านดูมีความสุขกับการทำงานมากๆ

จากนั้นพอคิดค่ารักษาพยาบาลออกมาแล้ว ทุกครั้งไม่เกิน 60 บาท เสมอเท่าเทียมเหมือนกันหมด ไม่เลือกชั้นวรรณะ ยากดีมีจนราคาเดียวเท่านั้น

ตามประวัติคุณหมอสำราญ ท่านเกิดในตระกูล ฉายแสงอรุณ เรียนจบมาจาก มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ รุ่นที่ 8

ด้วยวัยเกือบ 60 ปี แต่สีหน้าของคุณหมอ ก็ยังดูผ่องใส มีใจเมตตา รักษาคนไข้เสมอภาค ตามคิว ตามเวลา ไม่มีคำว่าอภิสิทธิ์ ไม่มีเส้นมีสาย ทุกคนต้องรอ คุณหมอวางกฎระเบียบไว้ค่อนข้างเข้มงวดชัดเจน
คลีนิกของคุณหมอเป็นตึกเก่าๆ ไม่ติดแอร์ มีแต่พัดลมเก่าๆ1ตัว มีโทรทัศน์สี14นิ้ว เครื่องเล็กๆไว้ให้คนไข้ดู เวลารอเรียกเมื่อถึงคิว และหนังสือพิมพ์รายวันอีก 2 ฉบับ ไทยรัฐ เดลินิวส์ พร้อมเจ้าหน้าผู้หญิงอีก 2 คน

สภาพโดยรวมเรียบง่าย อยู่กันแบบพอเพียง แต่สะอาด

สรีระของคุณหมอเป็นคนตัวเล็กๆ แต่งตัวเรียบร้อย พูดจาสุภาพ พื้นเพเป็นคนใต้ จังหวัดนครศรีธรรมราช

ภาพที่เห็นในแต่ละวัน คนไข้มารอคิวมากมาย คนเฒ่าคนแก่จะรักเคารพคุณหมอสำราญ เป็นอย่างมาก

จากคำชมของชาวบ้าน ให้เหตุผล ทำไมถึงรักและศรัทธา เพราะคุณหมอสำราญรักษาเก่ง มารักษาแล้ว อาการป่วยหายทุกครั้ง

จวบจนได้รับฉายาจากชาวบ้านว่า “หมอสำราญ ไม่เลี้ยงไข้” มาทีไรหายทุกที ไม่แพง ทั้งฉีดทั้งให้ยากิน 60 บาทเท่านั้น

บางรายรักษากันมา 20-30 ปี จากรุ่นปู่ย่าตายายมาถึงรุ่นพ่อแม่ ยันลูกหลาน เรียกว่า ศรัทธาไม่เสื่อมคลาย

อาตมามีความเชื่อว่า คนในสังคมไทยของเรานี้ ยังมีคนดีอีกมากมายในทุกซอกหลืบของทุกสาขาอาชีพ

นัยยะแห่งการเสียสละ ทุ่มเท มีจรรยาบรรณ ทุ่มเทจริงใจ และซื่อสัตย์สุจริต มีคุณธรรม มีเมตตา ไม่โลภมาก รวมถึงชอบที่จะปิดทองหลังพระ เฉกเช่นคุณหมอสำราญ งานที่คุณหมอทำด้วยใจรัก ประกาศให้โลกรับรู้ว่า “คุณหมอไม่โลภ”

คุณหมอเคยเล่าให้อาตมาฟังว่า ในอดีตคุณหมอเคยทำงานอยู่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียง แต่คุณหมอไม่ชอบ ไม่ถูกจริตนิสัย

อาตมาถามต่อว่า ทำไมถึงไม่ชอบโรงพยาบาลเอกชน สถานที่ทำงานออกจะหรูหรา มีหน้ามีตา เงินเดือนแพง “หมอไม่อยากรวยฤา”

หมอตอบ... “ผมสงสารคนไข้มากกว่า ผมเกลียดการเลี้ยงไข้ อย่าให้ผมอธิบายอะไรมากไปกว่านี้เลยครับหลวงพี่ รู้ๆกันอยู่ ทุกวันนี้ทุกอาชีพ คือธุรกิจ ผลกำไรต้องมาก่อน ยิ่งกำไรมากเท่าไหร่ เจ้าของธุรกิจก็ยินดี”

จากนั้น ตัดสินใจลาออก มาเช่าตึก ทำคลีนิค รักษาคนไข้ ในสนนราคาที่ชาวบ้าน สู้ไหว ส่วนตัวนั้น กิน 2 มื้อก็อิ่ม ไม่ต้องการอะไร สุดท้ายตายก็เอาอะไรไปไม่ได้ ไม่รู้จะกอบโกยเก็บสะสมเพื่ออะไร

คำตอบสุดท้ายของคุณหมอสำราญ คือธรรมะของพระพุทธเจ้าล้วนๆ ถ่องแท้ บริสุทธิ์จริงใจ ไม่มีอะไรเคลือบแฝง

“คนที่รู้จักพอ ก็คือคนรวย ส่วนคนที่ไม่รู้จักพอ ก็คือคนจน”

อาตมาและคุณหมอสำราญ ในรอบหนึ่งปี เราพบกันบ่อยครั้ง โดยเฉพาะในยามที่ป่วยไข้ มักจะเจอกันบ่อย

หลังๆมานี่ อาตมางานเยอะ ป่วยเล็กน้อยก็ไม่ได้ไปหาคุณหมอสำราญ หายาฉันเองตามอัตภาพ

ล่าสุดลูกศิษย์ใกล้ชิด ยิงคำถามมาว่า หลวงพี่รู้หรือยัง คุณหมอสำราญ เสียแล้ว อาตมาตกใจ เพราะไม่ทราบข่าวนี้มาก่อน ถามไถ่ความเป็นไป ก็ยังไม่ละเอียด ก็เลยตัดสินใจให้ลูกศิษย์ขับรถพาไปร้านลูกศิษย์ ที่อยู่ใกล้ๆคลีนิก เป็นร้านแว่นตา ชื่อร้านอาณาจักรแว่น เจ้าของร้านชื่อนายเปี่ยม

โยมเปี่ยม บอกว่า.... วันที่คุณหมอจะเสียชีวิต เดินผ่านร้าน หน้าซีด ดูโทรมมาก

โยมเปี่ยมหันไปถามภรรยา “นี่เธอ ทำไมวันนี้คุณหมอดูโทรมจัง” ภรรยาไม่ตอบอะไร แต่ส่ายหน้า สื่อบอกถึงความไม่รู้จริงๆ

จากนั้นอาตมาก็มาทราบว่า หมอเสียชีวิตแล้ว ระหว่างรักษาคนไข้ ท่านได้ทรุดตัวลงไปกับพื้น ข้างเตียงคนไข้ เป็นการตายในหน้าที่ของคุณหมอ สมบูรณ์แบบ และน่ายกย่องอย่างยิ่ง

เมื่ออาตมาทราบเรื่องทั้งหมด ทำให้ฉุกคิดถึงความเป็นหมอในวิชาชีพ รักษาคนไข้ให้หายจากการป่วยมาแล้วมากมาย แต่หมอหลายท่าน ลืมให้เวลาดูแลรักษาตนเอง

กรณีตัวอย่างเฉกเช่น คุณหมอสำราญ อาตมาเชื่อว่า ท่านทำงานจนลืมดูแลสุขภาพตนเอง

คุณหมอ บอกคนไข้ เตือนคนไข้ แนะนำคนไข้ แต่ลืมสอนตน ให้ปฏิบัติดูแลสุขภาพ แถมพกเอาความมั่นใจในตัวตน มากจนเกินไป ผนวกกับความประมาท ไม่คาดคิด เชื่อมั่นในสุขภาพของตน ถือว่าบกพร่องอย่างมหันต์

เรื่องการดูแลสุขภาพของเรานี้ ถ้าละเลยก็อันตราย บ่อยครั้งที่สอนคนอื่น แต่ลืมสอนตน ไม่วางแผนชีวิต ไม่พักผ่อน ลุยงานจนสภาพร่างกายรับไม่ได้ ทนไม่ไหว

ร่างกายคนไม่ต่างอะไรกับเครื่องจักร ต้องมีบุบสลายไปตามกาลเวลา ใช้งานมากก็เสื่อมมาก ต้องพัก ต้องซ่อมบำรุง ฉันใดก็ฉันนั้น

อาตมาเปรียบคุณหมอสำราญ ถ้าท่านเป็นรถยนต์ นั่นก็หมายความว่า ไม่เคยถ่ายน้ำมันเครื่อง ไม่เคยให้ช่างตรวจสอบระบบเครื่องยนต์ นั่นเอง!!!

ถึงโยมเป็นช่างยนต์ แต่ไม่เคยดูแลรถของตน ถึงเวลามันก็พัง เครื่องเสีย รถตายได้เช่นกัน... สัจจะธรรมข้อนี้ชี้ชัด ถึงการต้องรู้สติ สติรู้ตลอดเวลา ไม่ประมาทกับการดำเนินชีวิต รู้เท่าทันกับทุกลมหายใจ และเข้าใจมันอย่างถูกต้อง ถ่องแท้....ขอเจริญพร

วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556


‘สวดนพเคราะห์ข้ามปี’ ปลดเคราะห์ทั้งมวล!!  หลุดจากโซ่ตรวนแห่งความทุกข์!!

ฉลองความสุข ‘เคาท์ดาวน์ รับพรปีใหม่’  ร่ำรวย โชคดี มีเงินมีทอง เหลือกินเหลือใช้ 

ร่วมพิธียิ่งใหญ่ ‘ขอขมากรรม ถอนคำสาบาน ถอนคำสาปแช่ง’ ล้างสนิมในใจ!!

วันอังคารที่ 31 ธันวาคม 2556 เวลา 18.09 น. 

ณ โบราณสถาน วัดพระเมรุ ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม


พิธีขอขมากรรม พุทธประเพณี ที่ถือปฏิบัติมาแต่ครั้งโบราณกาล ด้วยการขอขมาต่อเพื่อนมนุษย์ สรรพสัตว์ทั้งหลาย เจ้ากรรมนายเวร งดโทษ ไม่โกรธเคือง ไม่จองเวรต่อกัน การขอขมากรรมมีหลักฐานปรากฏในหมู่สงฆ์ ที่ได้กระทำล่วงเกิน ด้วย กาย วาจา ใจ ทั้งต่อหน้า และลับหลัง เจตนา และไม่เจตนา ขอขมาต่อการกระทำของตน ที่ได้ทำผิดพลาดไปแล้ว จึงจะถูกรับกลับเข้าหมู่สงฆ์เช่นเดิม แสดงให้เห็นถึงการขอขมากรรม และให้อโหสิกรรม ย่อมนำมาซึ่งความสุขใจอย่างแท้จริง

สำหรับฆราวาสนั้น การขอขมากรรม ใน กายกรรม วจีกรรม และ มโนกรรม ที่ตนได้กระทำล่วงเกินต่อเพื่อนมนุษย์ สรรพสัตว์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ตลอดจนเจ้ากรรมนายเวร เมื่อกระทำลงไปแล้วย่อมเป็นการผูกเวร นำมาซึ่งความทุกข์ใจ และคำสาปแช่งต่างๆ อันถือได้ว่าไม่เป็นมงคล ต่อการดำเนินชีวิต ในครั้งพุทธกาล คราวใดฆราวาส กระทำการอันล่วงเกินต่อพระภิกษุ ต่อสรรพสัตว์ เจ้ากรรมนายเวร ต้องขอขมากรรม หรือขออโหสิกรรมต่อสิ่งเหล่านั้น โดยการกลับตัวกลับใจไม่กล่าวร้าย ไม่สาปแช่ง ไม่ประกอบกายทุจริต วจีทุจริต และมโนทุจริตอย่างนั้นอีกต่อไป

พิธีขอขมากรรม ตำรับหลวงพ่อพูล วัดไผ่ล้อม ดำเนินตามขนบธรรมเนียมแบบชาวพุทธเพื่อเป็นที่พึ่งทางใจให้กับพุทธศาสนิกชนทั้งหลายที่มีความขุ่นข้องหมองใจ อุปมาเหมือนมีสนิมเกาะกินจิตใจ

ด้วยเดชะบุญญาภินิหาร แห่งองค์หลวงพ่อพูล ด้วยความเมตตาในมโนธรรม ของพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน ท่านจึงจัดพิธีขอขมากรรม ถอนคำสาบาน ถอนคำสาปแช่ง เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ ให้กับพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ที่กำลังถูกสนิมกัดกินจิตใจ เพื่อบรรเทาทุกข์ ตั้งจิตอธิษฐานประกอบ กายสุจริต วจีสุจริต และมโนสุจริต ดำเนินชีวิตในทางที่ชอบ

เริ่มต้นชีวิตใหม่ ส่งท้ายปีเก่า รับพรปีใหม่ ณ บริเวณโบราณสถาน วัดพระเมรุ จ.นครปฐม หลวงพี่น้ำฝนนำคณะสงฆ์วัดไผ่ล้อม สืบสานตำนานพระเวทย์สวดบูชาพระประจำวัดเกิด บูชาเทพยดานพเคราะห์ เสริมบารมี คุ้มครองป้องกันสรรพภยันตรายทั้งปวง เคาท์ดาวน์ปีใหม่ พ.ศ.2557 หลวงพี่น้ำฝนน้อมนำอานุภาพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่มีอยู่ทั้งปวงในโลกใบนี้ ปกปักรักษาให้ญาติโยม มีแต่ความสุขความเจริญตลอดไป

กำหนดการ 

เวลา 18.09 น. บัณฑิต อ่านโองการเทพยดา พร้อมบูชาถวาย เครื่องสังเวย 
ต่อเทพยดาสิ่งศักดิ์สิทธ์ทั้งหลาย 

หลวงพี่น้ำฝน นำกล่าว ขอขมากรรม ถอนคำสาบาน ถอนคำสาปแช่ง 

จากนั้นหลวงพี่น้ำฝน พร้อมคณะสงฆ์ วัดไผ่ล้อม สวดขอขมากรรม ถอนคำสาบาน ถอนคำสาปแช่ง 

เวลา 22.00 น. พิธีสวดนพเคราะห์ เสริมบารมี 

เวลา 24.00 น. หลวงพี่น้ำฝน ประพรมน้ำพระพุทธมนต์เคาท์ดาวน์
ส่งท้ายปีเก่า รับพรปีใหม่ โชคดี โชคดี โชคดี เป็นเสร็จพิธี 

หมายเหตุ : ผู้เข้าร่วมพิธีต้องมาด้วยตนเอง และควรมาก่อนเวลา 

สอบถามรายละเอียดโทร. 087-7567555, 087-1517799, 087-7067555, 087-6984777



พิเศษสุดปีนี้ !! มหามงคลเปี่ยมพุทธคุณ หลวงพี่น้ำฝนเมตตาแจกฟรี 
มงคลวัตถุหลวงปู่ทวด หลวงพ่อพูล เนื้อผงพุทธคุณศักดิ์สิทธิ์ ให้แก่ทุกท่านที่เข้าร่วมพิธี


แผนที่ เส้นทางสู่วัดพระเมรุ นครปฐม

ภาพพิธีขอขมากรรม กรกฏาคม ปี2556 ณ วัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม

ภาพพิธีขอขมากรรม กรกฏาคม ปี2556 ณ วัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม

ภาพพิธีขอขมากรรม กรกฏาคม ปี2556 ณ วัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม

วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

อาตมาคิดว่าเป็น ‘วิบากกรรม’ ย้ำเตือนสติ
สอนให้ดำเนินชีวิต ‘สู้ต่อไป’ ได้อย่างมั่นคง

คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม

เจริญพรญาติโยมทุกท่าน ระหว่างจรดเตรียมกดแป้นพิมพ์ พลันเหลือบเห็นหนังสือเก่า เล่าเรื่องศรีปราชญ์ ร่ายบทกวี...
ธรณีนี่นี้ เป็นพยาน
เราก็ศิษย์มีอาจารย์ หนึ่งบ้าง
เราผิดท่านประหาร เราชอบ
เราบ่ผิดท่านมล้าง ดาบนี้คืนสนอง
การประหารศรีปราชญ์ ถึงพระกรรณสมเด็จพระนารายณ์ ซึ่งใคร่จะเรียกตัวมาใช้งานในเมืองหลวง พระองค์พิโรธเจ้าเมืองนครฯ กระทำการโดยปราศจากความเห็นชอบของพระองค์ และเมื่อพระองค์ได้ทราบถึงโคลงบทสุดท้ายของศรีปราชญ์ จึงมีพระบรมราชโองการ ให้นำเอาดาบที่เจ้าเมืองนคร ฯ ใช้ประหารศรีปราชญ์แล้วนั้น นำมาประหารชีวิตเจ้าเมืองนคร ฯ ให้ตายตกตามกัน สมดังคำที่ศรีปราชญ์ เขียนไว้เป็นโคลงบทสุดท้ายก่อนสิ้นชีวิตว่า “ ดาบนี้คืนสนอง ”

อ่านเรื่องนี้แล้ว อาตมาได้แง่คิด เรื่องกรรมใดใครก่อ ย่อมได้รับผลของกรรมนั้น...

พระนารายณ์สั่งให้ศรีปราชญ์เข้าเฝ้า เแต่งกลอนให้พระองค์สดับ แต่เมื่อทราบข่าวศรีปราชญ์ถูกประหาร สมเด็จพระนารายณ์ โกรธมาก จึงสั่งให้ประหารตายตามไป นี่แหละหนอผลของกรรม ทำอะไรไว้ได้อย่างนั้นจริงๆ



พออ่านจบอาตมาตัดสินใจ เขียนเรื่องวิบากกรรม ประสบการณ์ตรงของอาตมา เพื่อให้แสงสว่าง เป็นอุทาหรณ์สอนใจไว้ ณ ที่นี้

โยมจำเรื่อง รถหรู จากัวร์ เพ็นเทอร์ ได้มั้ย ข่าวใหญ่เมื่อช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา “อาตมาถูกกล่าวหาว่าครอบครองรถหรู ทั้งที่เป็นรถโบราณ ใช้การไม่ได้” ลูกศิษย์เขาถวายมาเป็นวิทยาทาน กุศโลบายให้โยมเข้าวัด ถึงธรรม มาชมมาถ่ายรูป ศึกษาความเป็นของเก่าหาดูได้ยากในปัจจุบัน

แต่สื่อก็ไปตีข่าวเสียใหญ่โตว่าเป็นรถหรู อ้าง DSI จ้องเล่นงาน บอกผิดเต็มๆ เมื่อไม่เข้าใจอาตมาก็ออกมาแถลงข่าวอธิบายให้ปัญญา เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.56 วันแถลงอาตมาก็ว่ากันตรงๆตามเหตุผล เล่าเฉลยว่ามันคือรถโบราณจดประกอบ ลูกศิษย์เขาถวาย ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ เสียภาษีครบถ้วน โชว์หลักฐานครบ

เรื่องยังไม่จบ วันนั้นสื่อมาครบทั้งหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ รายงานตามจริง ที่สำคัญไม่เว้นแม้รายการข่าวของโยมสรยุทธ ช่อง 3 ภาพที่ปรากฏ อาตมาพูดไม่ปิดบัง ถามอะไรมาก็ตอบตามตรง เสียงดัง ฟังชัด รู้เห็นเข้าใจทั่วประเทศ

อาตมาเป็นพระสงฆ์ เป็นครูบาอาจารย์สอนคนให้เป็นคนดี ไม่ใช่สักจะพร่ำไปวันๆแบบไม่มีแก่นสาร ที่ผ่านมาอาตมาสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร ศาลาการเปรียญ โรงเรียน โรงพยาบาล โดยไม่เคยเรี่ยไรบอกบุญ หนุนศาสนาจรรโลงเพื่อสังคมสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรมมากมาย แล้วอาตมาจะมาตายน้ำตื้นเยี่ยงนี้ฤา อาตมามีศีล มีสติปัญญา มีสมาธิเพียงพอ จะไปทำบัดสีเยี่ยงนี้เพื่ออะไร มันไม่คุ้มกับการตั้งใจทำความดีมาทั้งชีวิต เพียงแต่บุคลิกมันพาไป คือ พูดตรง เสียงดัง พูดความจริง ไม่เคยพูดจ๊ะจ๋า หรือทำเพราะเพื่อหลอกโยมไปวันๆ อาตมาทำไม่เป็น คำสอนคำพูดมันก็เลยแข็งทื่อไม่งามงด ไม่ถูกจริตโยมบางท่านก็เท่านั้นเอง

ถ้าอาตมาชั่วแม้แต่นิดเดียว ก็คงจะไม่ได้อยู่มาจนถึงทุกวันนี้

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ อาตมาถือว่า มันเป็นวิบากกรรม และที่สำคัญวิบากกรรม ก็คือผลที่เกิดขึ้น คือผลที่ติดตามมาจากเหตุ หมายถึงผลกรรม ผลที่เกิดจากกรรมที่ทำไว้ก่อน ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว ล้วนมีวิบากคือผลทั้งสิ้น โดยกรรมดีมีวิบากเป็นสุข กรรมชั่วมีวิบากเป็นทุกข์ ผลวิบากนี้  สอนย้ำเตือนให้อาตมารู้ว่า ชีวิตต้องดำเนินต่อไป อย่าไหวหวั่นหวาดกลัวกับมาร ที่จ้องมาผจญ หรือรนรานขาดสติขาดสมาธิไม่ได้โดยเด็ดขาด

เรื่องยังไม่จบโยม จากนั้นวันที่ 17 ก.ย.56 มีหนังสือจากDSI ให้นำรถคันนี้ไปตรวจสอบ กำหนดทำการตรวจในวันที่ 25 ต.ค.56 พอถึงเวลาอาตมานำไปตรวจตรงเวลาเป๊ะ ผลการตรวจระบุออกมาว่า “เป็นรถยนต์ที่ประกอบขึ้นในประเทศจากชิ้นส่วนรถยนต์เก่า” สรุปเรื่องนี้จบ อวสานตามทำนองครองธรรม ไม่มีความผิดใด เพราะมันไม่ผิด กรรมอยู่ที่การกระทำและเจตนา แต่ในกรณีของอาตมามันคือวิบากกรรม รถขับไม่ได้เป็นรถโบราณ ก็ยังจะยัดเยียดให้เป็นรถหรู นี่คือเหตุที่ทำให้ต้อง ปลง” เช่นกัน

กลายเป็นจำเลยสังคม ถูกกล่าวลอยๆ เรื่องนี้สอนให้อาตมาได้รู้ว่า การที่เราไม่ผิดแล้วถูกกล่าวหา อย่าใช้อารมณ์บันดาลโทสะ -โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า อารมณ์แก้ปัญหาอะไรไม่ได้ นำมาแต่จะทำให้ฉิบหาย

ครูบาอาจารย์สอน เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร การผูกเวรเหมือนกับการผูกพยาบาท เมื่อต่างฝ่ายต่างผูกใจเจ็บ เวรก็ไม่สามารถระงับลงได้ แต่หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลิกผูกเวรเสียด้วยการให้อภัยแผ่เมตตาให้เสมอๆ เวรย่อมระงับลงได้ในเวลาไม่นาน

โยมทุกท่านจงจำไว้เถิด การไม่ผูกเวร ทำให้จิตใจเราสบาย เมื่อใดใจผูกเวร เมื่อนั้นมองไปไหนก็เห็นแต่ศัตรู แต่เมื่อใดใจของเราไม่มีเวรกับใคร มีแต่เมตตาปรานี เมื่อนั้นมองไปทางใดก็เจอแต่มิตร

เพราะฉะนั้นญาติโยมทั้งหลายพึงสำเหนียกไว้เสมอว่า จงอย่าเห็นแก่กาลยาว จงอย่าเห็นแก่กาลนั้น เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร นี่เป็นธรรมเก่า เพราะฉะนั้นผู้ฉลาด เพื่อความสบายใจของตนเอง จึงไม่ควรผูกเวรไว้กับใครๆ จงจำแต่ความดีที่ผู้อื่นทำแก่ตน แต่อย่าจำความร้ายที่เขาทำให้ เพราะมันไม่มีประโยชน์แก่จิตใจ

ทำไมอาตมาถึงบอกว่า อย่าเห็นแก่กาลยาว นั้น หมายความว่าอย่าผูกเวรเอาไว้ เพราะเวรยิ่งผูกก็ยิ่งยาว คำว่า อย่าเห็นแก่กาลสั้น นั้น หมายความว่า อย่ารีบด่วนแตกจากมิตร มี อะไรก็ค่อยๆ ผ่อนปรนกันไป ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจเข้าใจผิดก็ได้ อย่าด่วนลงโทษใครง่ายเกินไป และอย่ารีบแตกจากใคร ขอให้พิจารณาเสียร้อยครั้งพันครั้ง

อุทาหรณ์ของเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมคืนสนอง เพราะกรรมคือการกระทำ ที่เกิดจาก กาย วาจา ใจ ของเราอย่างแท้จริง

กุศลกรรมคือกรรมดี อกุศลกรรมคือกรรมชั่ว ทำสิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้นตอบกลับมา หาตัวเราเอง ญาติโยมทุกท่านรวมถึงตัวอาตมา ต่างมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ทำกรรมอันใดไว้ เป็นบุญก็ดี เป็นบาปก็ดี เราจะเป็นทายาท ต้องได้รับผลของกรรมนั้นสืบไป เฉกเช่น หลายสิ่งบนโลก ล้วนเกิดจากความผิดพลาดมารวมกัน ก่อนหล่อหลอมกลายเป็นความสมบูรณ์ ที่แสนงดงามในวันนี้ ฉะนั้นญาติโยมควรพิจารณาอย่างนี้ ทุกวันๆ เถิดจักเกิดผลสุขต่อชีวิตอย่างแน่นอน ขอเจริญพร...

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556



พิธีบำเพ็ญกุศล 100 วัน แห่งการละสังขาร
ท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์ เกี่ยว

พลันที่ญาติโยมพุทธศาสนิกชนชาวพุทธทั่วประเทศ ได้รับทราบข่าว ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช มรณภาพ ด้วยอาการติดเชื้อในกระแสเลือด เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2556 เวลา 08.41น. ที่โรงพยาบาลสมิติเวช ยังความเศร้าสลดมาสู่ชาวพุทธทั่วประเทศ และต่างร่วมแสดงความอาลัยในทุกภาคส่วน

สำหรับพิธีบำเพ็ญกุศล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานน้ำหลวงสรงศพ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม 2556 และทรงพระราชทานในพระบรมราชานุเคราะห์สวดพระอภิธรรม 7 วัน ถึงวันที่ 18 สิงหาคม 2556

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ นายธานินทร์ กรัยวิเชียร องคมนตรี เป็นผู้แทนพระองค์ไปในการบำเพ็ญพระราชกุศล 50 วันพระราชทานศพ ณ ศาลาการเปรียญวัดสระเกศ เมื่อวัน เสาร์ที่ 28 กันยายน 2556 พระสงฆ์ 10 รูปสวดพระพุทธมนต์ จบ มีพระธรรมเทศนากัณฑ์ 1 พระ 4 รูปสวดธรรมคาถา พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม วันอาทิตย์ ที่ 29 กันยายน 2556 พระสงฆ์ 10 รูปที่สวดพระพุทธมนต์แต่วันก่อนถวายพรพระ รับพระราชทานฉัน และบังสุกุล

ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทาน เลื่อนชั้นเครื่องเกียรติยศประกอบศพ จากโกศไม้สิบสอง เป็นโกศมณฑป และทรงพระกรุณาโปรดบำเพ็ญพระราชกุศล 100 วันพระราชทานศพ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ( เกี่ยว อุปเสโณ ) ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช และเจ้าอาวาสสระเกศ ณ ศาลาการเปรียญวัดสระเกศเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร ในวันจันทร์ ที่ 25 พฤศจิกายน 2556 เวลา 17.00 น. พระสงฆ์ 10 รูปสวดมนต์จบ มีพระธรรมเทศนากัณฑ์ 1 พระ 4 รูปสวดธรรมคาถา พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม ในวันอังคาร ที่ 26 พฤศจิกายน 2556 เวลา 10.45 น. พระสงฆ์ 10 รูปสวดพระพุทธมนต์แต่วันก่อนถวายพรพระ รับพระราชทานฉัน และบังสุกุล แต่งกายเครื่องแบบขาว ไว้ทุกข์

ประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์ ( เกี่ยว อุปเสโณ ) เกิดเมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2471บ้านเฉวง ตำบลบ่อผุด อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี บรรพชาเป็นสามเณรวัดภูเขาทอง อำเภอ เกาะสมุย ได้อุปสมบทที่วัดสระเกศ เมื่อปี พ.ศ. 2492สมเด็จพระพุฒาจารย์ ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาค 9 และเป็นเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เมื่อปี พ.ศ. 2508 เมื่อปี พ.ศ. 2516 ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานแต่งตั้งเป็น รองสมเด็จพระราชาคณะ ที่ พระพรหมคุณาภรณ์ และเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม เมื่อปี พ.ศ. 2533 สมเด็จพระพุฒาจารย์ ได้เลื่อนเป็น สมเด็จพระราชาคณะ ที่ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ในปี พ.ศ. 2540 ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการฝ่ายเผยแผ่พระพุทธศาสนามหาเถรสมาคม



ประวัติครอบครัว และการศึกษา ด.ช.เกี่ยว โชคชัย เกิดเมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2471 นับแบบเก่า นับแบบปัจจุบันตรงกับ พ.ศ. 2472 (ตรงกับวันอาทิตย์ แรม 8 ค่ำ เดือน 3 ปีมะโรง) ณ บ้านเฉวง ตำบลบ่อผุด อำเภอเกาะสมุยจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นบุตรคนที่ 5 ในจำนวนบุตร 7 คน ของนายอุ้ยเลี้ยน แซ่โหย่ (เลื่อน โชคชัย) และนางยี แซ่โหย่ (ยี โชคชัย) ครอบครัวโชคชัยมีอาชีพทำสวนมะพร้าว ปัจจุบันทายาทสกุลโชคชัยหรือแซ่โหย่เปลี่ยนนามสกุลนั้นเป็น โชคคณาพิทักษ์

ด.ช.เกี่ยว โชคชัย สำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐานระดับประถมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียนประจำหมู่บ้าน ในปี พ.ศ. 2483 ก่อนที่จะถึงกำหนดวันเดินทางไปศึกษาต่อยังโรงเรียนในตัวเมืองสุราษฎร์ธานี เด็กชายเกี่ยวเกิดมีอาการป่วยไข้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน บิดามารดาจึงบนบานว่า หากเด็กชายเกี่ยวหายจากป่วยไข้ ก็จะให้บวชเป็นเณร ภายหลังจากบนบรรพชาเป็นสามเณร เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2484 ที่วัดสว่างอารมณ์ ตำบลบ่อผุด โดยมีเจ้าอธิการพัฒน์ เป็นพระอุปัชฌาย์



ความตั้งใจเดิมของสามเณรเกี่ยว คือ การบวชแก้บนสัก 7 วัน แล้วก็จะลาสึกไปรับการศึกษาในฝ่ายโลก แต่เมื่อบวชแล้วได้เปลี่ยนใจ ไม่คิดจะสึกตามที่เคยตั้งใจไว้ โยมบิดามารดาจึงได้พาสามเณรเกี่ยวไปฝากกับหลวงพ่อพริ้ง (พระครูอรุณกิจโกศล) เจ้าอาวาสวัดแจ้ง ตำบลอ่างทอง อำเภอเกาะสมุย

ในเวลาต่อมา หลวงพ่อพริ้งได้นำไปฝากไว้กับอาจารย์เกตุ คณะ 5 ณ วัดสระเกศ กรุงเทพมหานคร แต่หลังจากนั้นเป็นเวลาไม่นาน กรุงเทพมหานครต้องประสบภัยจากสงครามโลกครั้งที่สอง กรุงเทพมหานครถูกเครื่องบินทิ้งระเบิด หลวงพ่อพริ้งจึงได้รับตัวพาไปฝากท่านอาจารย์มหากลั่น ตำบลพุมเรียงอำเภอไชยาเมื่อสงครามสงบ หลวงพ่อพริ้งได้พากลับไปที่วัดสระเกศอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตามในเวลานั้น ท่านอาจารย์เกตุ ได้ลาสิกขาบทไปแล้ว หลวงพ่อพริ้งจึงพาฝากไว้กับ พระครูปลัดเทียบ (ซึ่งในเวลาต่อมาได้รับโปรดเกล้า ฯ สถาปนา เป็นพระธรรมเจดีย์ และเป็นเจ้าอาวาสวัดสระเกศ)

ท่านได้ศึกษาธรรมะจนสอบได้นักธรรมชั้นเอก และศึกษาปริยัติธรรม สอบได้เปรียญธรรม 5 ประโยค ตั้งแต่ครั้งยังเป็นสามเณร ต่อมา เมื่อมีอายุครบอุปสมบท ก็ได้อุปสมบทในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2492 ที่วัดสระเกศ โดยมีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (อยู่ ญาโณทโย) (ครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่ พระธรรมวโรดม) ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ จนถึงปี พ.ศ. 2497 สอบได้เปรียญธรรม 9 ประโยค

สมเด็จพระพุฒาจารย์ ได้รับปริญญากิตติมศักดิ์ ศิลปศาสตร์ ดุษฎีบัณฑิต สาขาสังคมศาสตร์เพื่อการพัฒนา จากมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานีและปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาการบริหารการศึกษา จากมหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ

สมณศักดิ์ เจ้าประคุณ สมเด็จฯ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานแต่งตั้ง เลื่อนและสถาปนาสมณศักดิ์ โดยลำดับ ดังนี้ พ.ศ. 2501 เป็น พระราชาคณะ ชั้นสามัญ ที่ พระเมธีสุทธิพงศ์ พ.ศ. 2505 เป็น พระราชาคณะ ชั้นราช ที่ พระราชวิสุทธิเมธี พ.ศ. 2507 เป็น พระราชาคณะ ชั้นเทพ ที่ พระเทพคุณาภรณ์ พ.ศ. 2514 เป็น พระราชาคณะ ชั้นธรรม ที่ พระธรรมคุณาภรณ์ พ.ศ. 2516 เป็นพระราชาคณะ เจ้าคณะรอง ชั้นหิรัญบัฏ ที่ พระพรหมคุณาภรณ์พ.ศ. 2533 เป็นสมเด็จพระราชาคณะ ชั้นสุพรรณบัฏ ที่ สมเด็จพระพุฒาจารย์ งานด้านวิชาการและการบริหารคณะสงฆ์

พ.ศ. 2494-2514สมเด็จพระพุฒาจารย์ ได้เริ่มต้นงานด้านวิชาการและการบริหารคณะสงฆ์ ในปี พ.ศ. 2494 โดยเป็นครูสอนปริยัติธรรม ต่อได้เป็นกรรมการตรวจ ธรรมสนามหลวง ในปี พ.ศ. 2496 และเป็นกรรมการตรวจบาลีสนามหลวง ในปี พ.ศ. 2497 ในปีเดียวกัน ได้เป็นกรรมการพิเศษแผนกตรวจสำนวนแปลวินัยปิฏกฉบับ พ.ศ. 2500 ของคณะสงฆ์



ในปี พ.ศ. 2500 สมเด็จพระพุฒาจารย์ได้เป็นอาจารย์สอนภาษาบาลีที่มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในปีต่อมาได้เลื่อนเป็นหัวหน้าแผนกบาลีธรรม และเป็นอาจารย์สอนพระสูตร และประธานหัวหน้าแผนกคณะพุทธศาสตร์ มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ในปีพ.ศ. 2502 ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยอธิการบดี และหัวหน้าแผนกธรรมวิจัย ของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

ในปี พ.ศ. 2506 สมเด็จพระพุฒาจารย์ ได้รับเลือกเป็นอนุกรรมการมหาเถรสมาคม ในปี พ.ศ. 2507 ได้รับเลือกเป็น เลขาธิการมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และได้รับพระบัญชาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะภาค 9 (เขตปกครองจังหวัด ขอนแก่น, มหาสารคาม, กาฬสินธุ์, ร้อยเอ็ด) ในปี พ.ศ. 2508 ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาค 9 และเป็นเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช

ในปี พ.ศ. 2513 สมเด็จพระพุฒาจารย์ ได้รับเลือกเป็นกรรมการร่างหลักสูตร ร.ร.พระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา และเป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ต่อมาในปี พ.ศ. 2514 ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดสระเกศ

ในปี พ.ศ. 2516 สมเด็จพระพุฒาจารย์ ได้เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม และได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็น รองสมเด็จพระราชาคณะ เป็นรูปที่ 3 ในประวัติศาสตร์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ได้รับสถาปนาแต่งตั้งขึ้นเป็นรองสมเด็จพระราชาคณะที่มีอายุไม่ถึง 50 ปี

ต่อมาในปี พ.ศ. 2524 ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาค 10 (เขตปกครองจังหวัดอุบลราชธานี, ศรีสะเกศ, นครพนม, ยโสธร,มุกดาหาร, อำนาจเจริญ) ในปี พ.ศ. 2528 ได้ เป็นประธานกรรมาธิการสังคายนาพระธรรมวินัย ตรวจชำระพระไตรปิฎก ในมหามงคลวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 5 รอบของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ในปี พ.ศ. 2532 สมเด็จพระพุฒาจารย์ ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะหนใหญ่หนตะวันออก และในปี พ.ศ. 2534 ได้เป็นประธานกรรมการจัดการชำระและพิมพ์อรรถกถาพระไตรปิฎก เฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในมหามงคลวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2535 ในปี พ.ศ. 2540 สมเด็จพระพุฒาจารย์ ได้รับพระบัญชาแต่งตั้งเป็น ประธานคณะกรรมการฝ่ายเผยแผ่พระพุทธศาสนา ของมหาเถรสมาคม และเป็นประธานคณะกรรมการช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติและอุบัติภัย

นอกจากนั้น สมเด็จพระพุฒาจารย์ เป็นผู้ริเริ่มตั้งโรงพิมพ์กรมการศาสนา และได้แสดงธรรมทางสถานีวิทยุ 919 ในรายการ “ของดีจากใบลาน” เป็นประจำ



และที่สำคัญท่านคือพระมหาเถระผู้เปิดวิสัยทัศน์ธรรมสู่วิสัยทัศน์โลก กล่าวคือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ เป็นหนึ่งในพระมหาเถระผู้มุ่งมั่น ที่จะเห็นพระพุทธศาสนามีความมั่นคงอยู่บนผืนแผ่นดินไทย และแผ่ไพศาลไปเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ชาวโลกโดยในส่วนงานพระพุทธศาสนาในต่างประเทศ เจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้ออกเดินทางไปต่างประเทศทั่วทุกมุมโลก เพื่อหาแนวทางที่จะให้มีวัดเกิดขึ้นในประเทศนั้นๆ อันมีแรงบันดาลใจมาจากสมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทยมหาเถร) ผู้เป็นพระอาจารย์เนื่องจากวัดสระเกศนั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานพระพุทธศาสนาต่างประเทศมาตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์มีพระราชดำริที่จะให้มีการฟื้นฟูพระศาสนาให้ตรงตามแบบเดิม จึงได้คัดเลือกพระที่จะไปสืบศาสนาที่ประเทศศรีลังกา และคัดเลือกได้พระอาจารย์ดีกับพระอาจารย์เทพจากวัดสระเกศ 2 รูป

ภายหลังเมื่อพระอาจารย์ดีกับพระอาจารย์เทพกลับมาจากลังกา ได้นำหน่อต้นโพธิ์มาด้วย 3 หน่อ รัชกาลที่ 2 ทรงให้ปลูกไว้ที่วัดสระเกศต้นหนึ่ง ที่วัดสุทัศน์ต้นหนึ่ง และที่วัดมหาธาตุต้นหนึ่ง

ในปี พ.ศ. 2515 สมเด็จพระพุฒาจารย์ได้รับนิมนต์จากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาให้ไปสังเกตการณ์การศึกษาพระพุทธศาสนาในมหาวิทยาลัยต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา เป็นเหตุให้เห็นหนทางในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และในโอกาสต่อมาก็ได้เริ่มวางรากฐานพระพุทธศาสนาในอเมริกา โดยอาศัยสมาคมชาวไทยต่างๆ เช่น สมาคมชาวไทยอีสาน สมาคมชาวไทยเหนือ และสมาคมชาวไทยทักษิณ ตลอดจนนักศึกษาในอเมริกา เพื่อหาวิธีการที่จะสร้างวัดไทยในสหรัฐอเมริกาให้ได้

ภายหลังการวางรากฐานพระพุทธศาสนาในอเมริกาบรรลุผลสำเร็จ เจ้าประคุณสมเด็จจึงได้เปลี่ยนเส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ไปสังเกตการณ์พระศาสนาในยุโรป

สำหรับทางยุโรป โดยเฉพาะประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย เป็นดินแดนที่ไม่น่าจะมีพระสงฆ์สามารถไปสร้างวัดไทยได้ เนื่องจากสภาพภูมิประเทศและสภาพภูมิอากาศค่อนข้างเหน็บหนาว ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะเกือบตลอดทั้งปี

สมเด็จฯ ได้ยึดเอาประเทศเนเธอร์แลนด์เป็นประเทศแรก และเป็นจุดเริ่มต้นในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในแถบสแกนดิเนเวีย โดยมีความเชื่อมั่นว่า แม้สภาพภูมิอากาศประเทศในแถบสแกนดิเนเวียจะหนาวเกือบตลอดทั้งปี แต่สภาพจิตใจของคนในแถบนี้กลับอ่อนโยน จึงเกิดความเชื่อมั่นว่า พระพุทธศาสนาน่าจะเจริญได้ในสแกนดิเนเวีย จึงชักธงธรรมจักรขึ้นเหนือหน้าต่างคอนโดที่พัก เป็นสัญลักษณ์ว่าพระพุทธศาสนาเริ่มหยั่งรากฝังลึกลงบนดินแดนแห่งนี้แล้ว ทำให้วัดไทยเกิดขึ้นอีกมากมายในเวลาต่อมา เช่น วัดไทยเนเธอร์แลนด์ วัดพุทธาราม กรุงสต๊อกโฮล์ม วัดพุทธาราม เฟรดิก้า ประเทศสวีเดน วัดไทยนอร์เวย์ ประเทศนอร์เวย์ วัดไทยเดนมาร์ค กรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ค วัดไทยฟินแลนด์ กรุงเฮลซิงกิ วัดไทยในเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน วัดไทยไอซแลนด์ และวัดไทยเบลเยียม ซึ่งขยายวัดออกไปอีกถึง 3 วัดในลักซัมเบิร์กในเวลาต่อมา

วัดไทยเนเธอร์แลนด์นั้น ถือได้ว่าเป็นวัดไทยแห่งแรกในยุโรปเหนือ และเป็นศูนย์ฝึกพระธรรมทูตให้รู้จักวิธีการดำรงชีวิตในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย จากนั้นพระธรรมทูตก็จะถูกส่งออกไปปฏิบัติศาสนกิจในประเทศต่างๆ ในแถบนี้

พระพุทธศาสนาในประเทศสวีเดนได้รับการตอบรับจากประชาชนอย่างดียิ่ง และเป็นประเทศแรกในโลกตะวันตก ที่ทั้งภาครัฐและเอกชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างวัด โดยดำริจะให้มีวัดไทยเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้พระพุทธศาสนาในประเทศของตน และได้จัดสรรพื้นที่ให้กว่า 271 ไร่ เพื่อดำเนินการสร้างวัดไทย การที่ภาครัฐและเอกชนของประเทศสวีเดน ได้เข้ามาดูแลการสร้างวัดไทยเช่นนี้ จึงเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจสำหรับชาวไทยที่นับถือพระพุทธศาสนา หากเอาเงินไทยไปสร้างวัดให้ฝรั่ง จะต้องนำเงินไทยออกจากประเทศจำนวนมหาศาลจึงจะสร้างวัดได้สักวัดหนึ่ง

การสร้างวัดไทยในต่างประเทศ โดยเฉพาะทางด้านยุโรป พระสงฆ์ได้ใช้เงินไทยน้อยมาก โดยใช้เงินประเทศนั้นเพื่อสร้างวัดประเทศนั้น ซึ่งเป็นการให้ฝรั่งสร้างวัดพระพุทธศาสนาให้ฝรั่งเอง เพราะเจ้าของผู้สร้างจะได้เกิดความรักความผูกพันในสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมา จะทำให้วัดไทยมีความมั่นคง ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดี เจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงวางเป็นแนวทางการสร้างวัดสำหรับพระธรรมทูตไว้ว่า

“พระสงฆ์ไปปฏิบัติงานประเทศใดต้องใช้เงินของประเทศนั้นสร้างวัด เพราะถ้าจะเอาเงินไทยไปสร้างวัดในต่างประเทศ เราจะต้องเอาเงินบาทออกนอกประเทศเท่าไรจึงจะสร้างวัดได้วัดหนึ่ง ค่าเงินบาทกับเงินต่างประเทศแตกต่างกันมาก พระสงฆ์ที่ไปอยู่ต่างประเทศจึงต้องเก่งและมีความอดทนสูง”

เมื่อสมเด็จฯได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ได้สร้างอาคารหลังหนึ่งขึ้นภายในบริเวณวัด และให้ชื่อว่า “อาคารอนุสรณ์สมเด็จฯ ญาโณทยมหาเถระ พ.ศ.2517” นัยหนึ่งก็เพื่อเป็นที่พักพระสงฆ์ต่างประเทศ ที่เข้ามาศึกษาเล่าเรียนพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ให้ได้รับความสะดวกสบายในเรื่องที่อยู่อาศัย แต่อีกนัยหนึ่งนั้น ก็เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่สมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทยมหาเถระ) พระอาจารย์ผู้จุดประกายความคิดที่จะให้พระพุทธศาสนาแผ่ไพศาลไปในโลกตะวันตก

อาจจะกล่าวได้ว่า ความสำเร็จของการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศทั่วโลก เกิดจากการวางรากฐานที่สำคัญของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ผู้เปิดวิสัยทัศน์ธรรมสู่วิสัยทัศน์โลก เป็นเหตุให้พระสงฆ์ที่ปฏิบัติหน้าที่เป็นพระธรรมทูตได้ยึดเป็นแนวทางอันเดียวกัน เป็นที่มาแห่งความสำเร็จของงานพระศาสนาในต่างประเทศ ทำให้พระพุทธศาสนาแผ่ไพศาลไป เป็นที่พักพิงทางด้านจิตใจแก่ชาวไทย และประชาชนในต่างประเทศทั่วโลก ในปัจจุบัน



หมายกำหนดการ
บำเพ็ญพระราชกุศล 100 วัน พระราชทานศพ
สมเด็จพระพุฒาจารย์ ( เกี่ยว อุปเสโณ )

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดบำเพ็ญพระราชกุศล 100 วันพระราชทานศพ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ( เกี่ยว อุปเสโณ ) ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช และเจ้าอาวาสสระเกศ ณ ศาลาการเปรียญวัดสระเกศ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร วันจันทร์ ที่ 25 พฤศจิกายน 2556 เวลา 17.00 น. พระสงฆ์ 10 รูปสวดมนต์ จบ
มีพระธรรมเทศนากัณฑ์ 1 พระ 4 รูปสวดธรรมคาถา พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม วันอังคาร ที่ 26 พฤศจิกายน 2556 เวลา 10.45 น. พระสงฆ์ 10 รูป สวดพระพุทธมนต์แต่วันก่อนถวายพรพระ รับพระราชทานฉัน และบังสุกุล แต่งกายเครื่องแบบขาว ไว้ทุกข์

แม่หัวโบราณ จัดการทุกเรื่อง ‘จับคลุมถุงชน’
‘ลูกสาว27 เครียด’ ประชดประชันดื้อรั้นสุดๆ
คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม

เจริญพรญาติโยมพุทธศาสนิกชนทุกท่าน พบกันอีกเช่นเคยกับ “คอลัมน์จุดไฟในใจคน” สัปดาห์นี้มีเรื่องครอบครัว ใกล้ตัวใกล้ใจใครหลายๆคนมาเล่าสู่กันฟัง!?!

อาตมาขอรับรองว่าเรื่องนี้สนุกกว่าทุกเรื่องที่ผ่านมา เพราะมีมุมคิดมุมใหม่ที่ทันสมัยมากมายอยู่ในเรื่องนี้....

กล่าวสำหรับต้นเรื่องผู้ที่จุดประกายส่งสัญญาณมาหาอาตมาคือผู้เป็นแม่.... โยมโทร.เข้ามา เพราะดู
“รายการคิดไม่ออกบอกหลวงพี่น้ำฝน ทางช่อง 5” และเป็นแฟนประจำ “หนังสือมติชนสุดสัปดาห์”

โยมสีกาโทร.เข้ามาด้วยน้ำเสียง ไม่สบายใจเท่าใดนัก เล่าเรื่องลูกสาว ที่กำลังเป็นสาวเต็มตัว!!!

โยมเล่าตั้งแต่อดีตในวัยเรียน ลูกสาวสุดสวยสุดน่ารักคนนี้ ดื้อรัน ตะแบง ประชดประชัน ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ เอาแต่ใจตัวเองสุดๆ

ภาพลบต่างๆเหล่านี้ของลูกสาวโยม ถูกเล่าขานถ่ายทอดให้อาตมาได้รับรู้”

โยมบอกส่วนตัวรับราชการครูทั้งพ่อและแม่ พ่อกับลูกอยู่จังหวัดนครปฐม ส่วนโยมมาสอนหนังสืออยู่ที่จังหวัดนครพนม

บอกเดี๋ยวจะให้พ่อพาลูกสาวมาหาหลวงพี่น้ำฝนที่วัดไผ่ล้อม ฝากฝังหลวงพี่ช่วยอบรมสั่งสอนให้หน่อย เผื่อจะมีสำนึกสำเหนียก เข้าใจในความปรารถนาดีของผู้เป็นพ่อแม่บ้าง

“โยมฝากความหวังไว้กับอาตมา”

รุ่งขึ้นอีกวัน พ่อพาลูกสาวมาพบอาตมาที่กุฏิ อาตมาเริ่มจากการสอนลูกสาว ให้ตระหนักคิด ถึงความเป็นพ่อแม่ ผู้ให้กำเนิด ถ้าไม่มีท่านทั้ง 2 ก็ไม่มีเราในวันนี้

“ลูกสาวอย่ามองข้ามความกตัญญูกตเวที ต้องตอบแทนบุญคุณ ผู้ให้กำเนิด ด้วยการเป็นเด็กดี ว่านอนสอนง่าย ไม่สร้างภาระให้พ่อแม่ ไม่สร้างความเดือดร้อน และที่สำคัญ อย่าทำให้พ่อแม่ต้องเสียใจโดยเด็ดขาด”
ในเบื้องต้น เมื่อลูกสาวได้ฟัง ธรรมะใต้ธรรมาสน์จากอาตมาแล้ว โยมลูกสาวถึงกับน้ำตาซึม ไหลเป็นทางอาบสองแก้ม

จากนั้นอาตมาได้เปิดโอกาสให้ลูกสาวอธิบายความในใจบ้าง เธอกล่าว .... “หนูไม่ได้มีเจตนาจะดื้อรั้นกับแม่ แต่แม่ก็ไม่เคยเข้าใจหนู ยกตัวอย่างสมัยเรียนหนังสือ หนูอยากเรียนด้านศิลปะ เพราะหนูชอบ แม่ก็ไม่ยอมให้เรียน บังคับให้หนูไปเรียนครู ส่วนพ่อก็อยากให้เรียนหมอ ทั้งพ่อและแม่ไม่เคยถามหนูสักคำว่าหนูอยากเรียนอะไร???

เอาล่ะ....เรื่องที่ผ่านมา ช่วงเรียน มันผ่านไปแล้ว

อาตมายัน.... “แม่หนูก็มีส่วนผิด ที่ไม่ตามใจลูก แต่เราก็ต้องเข้าใจคนเป็นแม่ เพราะแม่อาบน้ำร้อนมาก่อนเรา อยากเห็นเราได้ดี มีอาชีพการงานที่ดี เขามองอนาคตที่ชัดกว่าเรา จึงบังคับเพราะอยากเห็นหนูมีงานที่ดี มีตำแหน่ง มีหน้ามีตาในวงสังคม นั่นคือสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนล้วนวาดหวัง”

แต่ลูกไม่เข้าใจ เอาความรู้สึกส่วนตัว มาเป็นเครื่องวัด จริงอยู่การบังคับเป็นสิ่งไม่ดี เป็นการฝืนธรรมชาติ

ยกตัวอย่างหลานอาตมา พ่อเขาชอบบังคับ อยากให้ลูกเรียนโรงเรียนดีๆมีชื่อเสียง แต่ไม่ได้สำรวจสติปัญญาของลูก ว่าเขาเรียนเก่งขนาดไหน

“ส่งลูกไปเรียนกับโรงเรียนระดับหัวกระทิ สุดท้ายลูกก็ไปไม่รอด” กลายเป็นปมด้อย เด็กทุกคนมิใช่จะเรียนเก่งเหมือนกันหมด สติปัญญา ความถนัด ไม่เท่ากัน

พอผลการเรียนตกต่ำ ก็มาโทษลูกว่าไม่สนใจเรียน ไม่ขยันหมั่นเพียร ก็ในเมื่อเขาพยายามแล้ว แต่ทำได้แค่นี้

และนี่คือจุดอ่อนของคนที่เป็นพ่อแม่ แต่ยังไม่เข้าใจลูกอย่างถ่องแท้ เอาความคิดส่วนตัวเป็นใหญ่ อยู่เหนือเหตุผล ชอบบังคับ เพราะเชื่อว่า การเขี้ยวเข็ญแบบสุดๆจะทำให้ลูกเก่ง และประสบความสำเร็จตามที่ใจตนปรารถนา

ส่งผลให้เด็กกลายเป็นคนเก็บกด ซึมเศร้า ไม่มีเพื่อน หวาดกลัว ขี้ระแวง เป็นสนิมเกาะกินใจลูกไปจนวันตาย

ถ้าคิดว่าจะกำหนดลูกตามทิศทางที่วางแผนไว้ ต้องค่อยๆตะล่อม เรียกมาคุยแบบเพื่อน เข้าอกเข้าใจ อย่าหักด้ามพร้าด้วยเข่า ใช้ไม่นวมอย่าไปใช้ไม้แข็ง โอนอ่อนผ่อนตาม ใช้เหตุและผลเป็นหลักสำคัญ

“ลูกสาวเล่าให้ฟังอีกว่า เมื่อเขาเรียนจบ ได้ไปสมัครเป็นแอร์โฮสเตส ปรากฏว่าสอบผ่าน ได้เป็นแอร์โฮสเตสสายการบินมาเลเซีย แม่บอกไม่ชอบ ไม่อยากให้ไปทำ ก็เลยทำให้หนูเครียด หนูเซ็งมาจนทุกวันนี้”
“ที่ผ่านมาหนูไม่เคยวีนกับคนอื่น นอกจากแม่กับพ่อเท่านั้น ที่หนูรู้สึกอยากโต้ตอบด้วยการดื้อรัน เพราะความคิดเห็นไม่เคยตรงกันเลยซักเรื่อง แล้วจะให้หนูทำยังไง” นี่คือเสียงสะท้อนจากลูกสาว ในวันที่พ่อ พามาพบอาตมาที่วัด

อาตมานั่งฟังแล้ว เหมือนกำลังทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับปรัชญาวิชาคลุมถุงชน ซึ่งพ่อแม่ลูกต่างมีความต้องการ เป็นการเฉพาะของตน นับเป็นข้อมูลที่ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผล ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการคลุมถุงชน เรื่องการแต่งงาน หรือเรื่องคู่ครอง แต่ประการใด

“คลุมถุงชน”ในความเห็นส่วนตัวของอาตมา มันน่าจะครอบคุมถึงเรื่องการเรียน การทำงาน ซึ่งเรื่องแนวนี้นับเป็นกรณีศึกษา ซึ่งในปัจจุบันยังมีการคลุมถุงชนอยู่มากในสังคมไทย โดยเฉพาะแม่กับลูก เป็นการบังคับจัดการให้ลูกเสียทุกเรื่อง โดยไม่คำนึงถึงเหตุผลที่แท้จริง

“กรณีของแม่ลูกคู่นี้ ถือว่าเด่นในเชิงการสอนและการรับฟัง ที่สำคัญสามารถนำไปอ้างอิงสอนผู้อื่นได้”

ยุคปัจจุบันอาจจะเบาบางลงในเรื่องของการบังคับ คือไม่ใช้วิธีการทารุณหรือบีบบังคับอย่างรุนแรง แต่จะเป็นการหว่านล้อมเพื่อให้ยอมทำตาม อาจจะอ้างในเรื่องของความกตัญญู หรือเพื่อผลประโยชน์มากกว่า ซึ่งมันจะกลายเป็นการบังคับทางอ้อม และตราบใดที่พ่อแม่ลูกยังเป็นปุถุชนอยู่ ตราบนั้นย่อมมีทิฐิ
“เมื่อมีทิฐิแล้ว ยากที่จะเห็นตรงกัน เมื่อไม่เห็นตรงกัน ก็เป็นเหตุให้โต้เถียงวิวาทกันอยู่รํ่าไป” 

ฉะนั้นถ้าโยมเข้าถึงพระ เข้าถึงธรรมแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอะไร ที่จะมาเสียเวลาโต้แย้งกัน

ใครมีทิฐิอย่างไร ก็ปล่อยเป็นเรื่องของเขาไป ดังพุทธพจน์ตอนหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า....


“ภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดอันบัณฑิตทั้งหลายในโลก กล่าวว่ามีอยู่ แม้เราตถาคตก็กล่าวสิ่งนั้นว่ามีอยู่ สิ่งใดอันบัณฑิตทั้งหลายในโลกกล่าวว่าไม่มี แม้เราตถาคตก็กล่าวสิ่งนั้นว่าไม่มี ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่โต้แย้งเถียงกับโลก แต่โลกย่อมวิวาทโต้เถียงกับเรา”

พระพุทธเจ้าท่านสอนให้อยู่นิ่งๆ และตั้งใจทำในสิ่งที่ถูกต้องให้ดีที่สุด อย่าตอบโต้ อย่าใช้อารมณ์

สอนให้ใช้เหตุผล คุยกันดีๆ พ่อแม่ลูก สุดท้ายการดำเนินชีวิตก็จะอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข เพราะต่างฝ่ายต่างฟังกัน ยอมกัน ให้อภัย เสียสละ และมีเมตตาต่อกัน

เมื่อครอบครัวเย็น “ใจเย็น” แม้เห็นต่าง แต่ก็ไม่ขัดแย้ง เพราะเคารพและมีความรักให้แก่กันมากกว่าสิ่งใดทั้งมวล.....ขอเจริญพร

วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เรื่องผัวเมียทะเลาะกัน อย่าเข้าไป ส.ใส่เกือก
เดี๋ยวจะกลายเป็นหมา !! อาตมาเตือนแล้ว !!

คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม

เจริญพรญาติโยมพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สัปดาห์นี้อาตมาขยับปากกา สะกิดเรื่องราวของศิษย์ใกล้ชิด พอบรรจงเขียนบรรยาย มองเห็นภาพวิถีชีวิตเพศฆราวาส ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร เห็นภาพชัดเจนเป็นรูปธรรม!!!

ที่สำคัญอาตมาอยู่ในเหตุการณ์เรื่องนี้ตลอดเวลา เหตุเกิดที่วัดไผ่ล้อม บริเวณสำนักงานกลาง หลังฌาปนสถานปลอดมลพิษ...

ลูกศิษย์ท่านนี้ ทำงานอยู่ตรงนั้น ในแต่ละวันที่สำนักงานกลางวัดไผ่ล้อม มักจะมีผู้คนมาเยือนติดต่อประสานงานด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา มาจากมากมายหลายหน่วยงาน ส่วนใหญ่ก็เข้ามาขอข้อมูลประสัมพันธ์นั่นเอง...

บ่อยครั้งก็จะมีพรรคพวก ที่สนิทสนม โดยเฉพาะเพื่อนร่วมวิชาชีพด้านงานเขียน เข้ามาขอความรู้ปรึกษาหารือ... แล้ววันหนึ่ง ศิษย์ที่เป็นนักเขียนท่านหนึ่ง ก็เข้ามาหาเพื่อนของเขา....เล่าเรื่องราวของภรรยา ให้เพื่อนได้ฟัง เพราะความเครียด ระคนกลุ้มใจ

แรกๆก็เล่าเรื่องเบสิก เป็นการทะเลาะเบาะแว้ง ภายในครอบครัวแบบธรรมดา ไม่แปลก ที่ทุกครอบครัว ย่อมเกิดเรื่องทำนองนี้

ผู้รับฟังฟัง ถ้าไม่คิดมาก สิ่งที่รับฟังแล้ว อาตมาถือว่าเบาๆ เพราะเป็นปัญหาพื้นฐาน ที่สามีภรรยาในฐานะลิ้นกับฟัน อยู่ด้วยใกล้กัน ย่อมกระทบกระทั่งกันบ้างตามปกติ

โฟกัสเหตุการณ์วันแรกที่มาปรึกษา บรรยากาศโดยรวม ทุกคนรับฟังได้สบายๆ เข้าใจในสถานะ เพราะเล่าว่าแค่มีปากเสียง

จากนั้นวันต่อมา ความถี่ในการเล่า เริ่มขมวดปม คืบหน้าเป็นทะเลาะใส่อารมณ์ ขุดเหตุการณ์ในอดีต ตั้งแต่แรกเริ่ม มาแฉเป็นขั้นเป็นตอน ย้อนหลังแบบในละครโทรทัศน์

ปมปัญหาทวีความรุนแรงขึ้น ถึงขั้นไม่พูดจา ต่างคนต่างอยู่คนละมุมบ้าน แต่ถ้าคุยกันเมื่อไหร่ นั่นหมายถึง มีปากเสียง ด่าทอ ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ประทุความเคืองขุ่นขึ้นตามลำดับ

การนำเรื่องของภรรยามาเล่าปรึกษาเพื่อน สุดท้ายคลายปม เฉลยเหตุเพราะภรรยาไปมีชู้ เรื่องจึงแดงขึ้น ส่วนเพื่อนรับฟังข้อมูลปริมาณมากขึ้น ก็ออกอาการฉุน ลมออกหู แค้นแทนเพื่อน

“ลั่นวาจาปากไว ฟันธง บอกให้เลิกกันไปเลยดีกว่า”

อาตมานั่งฟังอยู่ด้วย เห็นสถานการณ์เริ่มไม่ดี จึงหันไปตำหนิเจ้าศิษย์ที่ไปแนะนำให้เลิกรา บอกขืนแนะนำอย่างนี้ ระวังจะเป็นหมา เขาเป็นผัวเมียกัน ไปชี้นำ บอกอย่างนั้นได้อย่างไร???

ท้ายสุดก็เป็นจริง เมื่อเพื่อนกลับไปบ้าน ไม่รู้ไปคุยกับภรรยาอีท่าไหน บรรยากาศเปลี่ยนไปในทิศทางดีขึ้น เข้าอกเข้าใจกันดี แถมบอกถึงที่มาของการไปปรึกษาเพื่อน บอกเพื่อนมันแนะนำให้ฉันเลิกกับเธอ

เท่านั้นล่ะ ฝ่ายเมียถึงกับโกธรเป็นฟืนเป็นไฟ ออกอาการโมโหมากมาย กลายเป็นเรื่องใหญ่โต!!!

ภรรยาแสดงอารมณ์กร่นด่าเกลียดเพื่อนสามีขึ้นมาทันที

รุ่งขึ้นเช้ามาที่วัดทั้งภรรยาและสามี สายตาที่ภรรยามองเพื่อนสามี ประหนึ่งจะกินเลือดกินเนื้อ ฝ่ายเพื่อนก็มองหน้าไม่ติด เพราะจัดหนักไปเสียขนาดนั้น

ซึ่งก็เข้าตำราตามที่อาตมาเตือนไว้ทุกประการ บอกระวังจะเป็นหมา สุดท้ายเจ้าเพื่อนคนนี้ ก็ได้เป็นหมาสมใจ แค่ช่วงเวลาข้ามคืน

ให้จำไว้เลยว่าสามีภรรยาเขานอนคุยกัน ส่วนเราเป็นแค่เพื่อนนั่งคุยกัน ความสัมพันธ์มันต่าง มันคนละเรื่อง คนละมุม

ถ้าคิดจะแนะนำจริงๆ อาตมาบอกไปแล้วชัดเจนว่า.... ต้องแนะนำให้เขาดีกัน มองในแง่มุมที่ดีต่อกัน ให้เหตุผล สร้างบรรยากาศปลอบประโลมให้ใจเย็นๆด้วยกันทั้งคู่

ในฐานะกรรมการกลาง เรายังไม่ชัดเจนในท้องเรื่อง ถามไถ่ด้วยความเห็นใจทั้งสองฝ่าย จากนั้นก็เอานำเย็นเข้าลูบ ให้กำลังใจ

พูดให้เขาสุขุมรอบคอบขึ้น ไม่ใช่ไปสุมไฟ ที่สำคัญคนกำลังเครียด กำลังมองลบ ต้องค่อยๆปลอบขวัญ ไม่ใช่ไปยุยงส่งเดชให้เขาเลิกกัน เขาเป็นครอบครัว มีลูกต้องดูแล มีพ่อแม่ต้องแทนคุณ เรื่องครอบครัวมันต้องมองไกลๆ เพราะเรื่องสามีภรรยาลูกเป็นเรื่องละเอียดอ่อน

นี่คือเหตุการณ์เรื่องจริง ที่ส่วนใหญ่อาตมาจะสอนลูกศิษย์ทุกคน โดยเฉพาะในกรณีคู่รักสามีภรรยา จำนวนมากจะเป็นฝ่ายหญิงที่มาเล่าเรื่องสามีไปมีกิ๊ก แอบไปมีภรรยาน้อย

อาตมามักจะสอนให้ดูแลลูก เอาเวลาไปทำมาหากิน และยิ่งถ้าครอบครัวไหน ฝ่ายชายดูแลดี อาตมาบอกอย่าไปสนใจ ตราบใดที่เรายังพึ่งเขาอยู่ เขาให้เงินเราและลูก ได้ใช้จ่ายอย่างไม่ขัดสน ไม่ขาดตกบกพร่อง เสมอต้นเสมอปลาย ต้องนับถือฝ่ายสามี ในฐานะหัวหน้าครอบครัว ช้างเท้าหน้าทำหน้าที่สามีสมบูรณ์แล้ว

“ฝ่ายหญิงไม่ต้องไปสนใจ ไม่ต้องไปตามตื้อ ตามจิกให้เสียเวลา”

ถ้าเราดีจริง วันหนึ่งเขาก็กลับมาเอง ผู้ชายส่วนใหญ่แพ้ความดีของภรรยา กลับมาตายรังทุกราย เพราะครอบครัวที่บ้านอบอุ่น ฝ่ายสามีจุดสุดท้ายก็กลับมาอยู่บ้าน

แต่บ้านที่ร่มเย็นเป็นสุขนั้น คือบ้านที่อยู่ด้วยกันอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย ออมชอม ยอมกัน ทั้งสามีภรรยาต้องรู้จักให้อภัย เมตตา เสียสละ พออายุมาขึ้น ปลงได้แล้ว บ้านก็จะกลายเป็นวิมาน อยู่เป็นเพื่อนยามเจ็บไข้ได้ป่วย ดูแลป้อนข้าวป้อนยาในเวลาใกล้ตาย บุญกุศลไม่ตกหายไปไหน ถ้าอยู่กันด้วยใจ เราช่วยเขา เขาช่วยเรา สุดท้ายก็นอนตายตาหลับทั้งคู่ ดูตัวอย่างพ่อแม่เราไว้เป็นต้นฉบับของชีวิตคู่ อยู่อย่างเป็นสุข แล้วก็จากไปอย่างเป็นสุข

“อาตมาขอสรุปอีกมุมคิดหนึ่ง เพ่งไปที่สามีภรรยา อาตมาขอแนะให้ทั้งคู่ต้องกล้าหาญที่จะเปิดใจพูดคุย เพื่อรู้จักชีวิตความเป็นมา และนิสัยใจคอกันเสียให้กระจ่างตั้งแต่แรกคบหาสมาคม แล้วก็เปรียบเทียบดูว่า เราเข้ากันได้หรือไม่ แก้ไขข้อบกพร่อง อย่าเห็นแก่ตัว เวลามีปัญหาอย่าล้ำเส้น อย่าเอาเปรียบกัน ต้องมีความรับผิดชอบในครอบครัว อย่าเสี่ยงพาชีวิตคู่ไปสู่ความแตกร้าว ต้องกันไว้ดีกว่าแก้ เพราะแย่แล้วแก้ไม่ทัน วิธีป้องกันการแตกแยกในวิถีชีวิตคู่ ต้องแก้ที่นิสัย และอีกประเด็นก็เรื่องการเงิน อย่าใช้เงินเกินตัว อย่าสร้างหนี้ เพราะเรื่องเงินนี่ล่ะ ที่จะนำพาชีวิตครอบครัวแตกร้าว มีผลไปสู่การมีชู้ มีกิ๊ก ถ้าไม่อยากให้เกิดปัญหาแนวนี้ ควรประคองเรื่องเงินอย่าให้บกพร่อง อยู่กับแบบพอเพียง เลี้ยงชีวิตให้สมฐานะ สามีภรรยาไม่ควรมีความลับต่อกัน อย่ากลัวหรือหนีปัญหา ต้องเผชิญหน้าพูดคุยกันอย่างมีเหตุผล ความกลัวเป็นสิ่งหนึ่งที่รบกวนชีวิตประจำวันมากที่สุด สามารถทำลายความสุข กลัวไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ กลัวไม่มีเงิน กลัวลำบาก กลัวแก่ กลัวโรคภัยไข้เจ็บ กลายเป็นโรคจิต เพราะมีความกลัวเป็นเพื่อน ตั้งแต่เด็กจนวันตาย ฉะนั้นต้องเข้มแข็ง อย่าไปวิตกจริตคิดเยอะ อย่าจิตตก คิดบวกไว้ มองโลกในแง่ดี ใช้ชีวิตคู่ให้มีความสุข ถ้ามีโอกาสก็อย่าลืมทำบุญทำทาน สะสมเสบียงบุญไว้ใช้ในภพหน้า”
อาตมาขออนุโมทนากับญาติโยมทุกคู่ชีวิต ที่อยู่อย่างถึงพระถึงธรรม นำพาชีวิตไปตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมประสบแต่หนทางสวรรค์ทั้งภพนี้และภพหน้าสถาพรอย่างแน่นอน....ขอเจริญพร

วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

มีบ้านราคา 10 ล้าน แต่ไปนอนโรงแรม

อยู่ยาว 6 เดือน - เอ๊ะ! นี่มันอะไรกัน ?

คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม


เจริญพรญาติโยมพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สัปดาห์นี้อาตมานำเรื่อง ที่เกิดขึ้นสดๆร้อนร้อน เมื่อเช้าวันจันทร์ที่ผ่านมา มีโยมมาที่วัดไผ่ล้อม มากันทั้งครอบครัว และเข้าร่วม พิธีลงนะหน้าทอง จันทร์มหาเสน่ห์ ตำรับหลวงพ่อพูล พิธีจัดขึ้นทุกวันจันทร์

โยมมาทั้งหมด 5 คน ลงนะหน้าทองเสร็จ บูชามงคลวัตถุท้าวเวสสุวรรณ เนื้อผงตะเคียน ของเก่าสร้างสมัยหลวงพ่อพูล จากนั้นก็นำมาให้ อาตมาเจิมแป้งนะเมตตามหามงคล

แล้วโยมก็ถามว่า... “มีความสงสัย ว่าที่บ้านน่าจะโดนของ น้องสาวเห็น ผู้หญิงแก่ ใส่เสื้อคอกระเช้า ถือมีด บอกกูจะฆ่าพี่สาวมึง” นี่คือคำเล่าเบื้องต้น ที่โยมบอกกล่าวอาตมา

โยมทิ้งท้ายบอกมีบ้านอยู่แถวสาธุประดิษฐ์ อาตมาฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า พรุ่งนี้อาตมามีกิจนิมนต์ เดินทางไปที่ย่านสาธร และต่อไปยังวัดสระเกศ เพื่อฟังสวดพระอภิธรรม เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ เกี่ยว อุปเสโณ
อาตมาก็เลยบอกไปว่า “ถ้ายังไง โยมก็ลองโทร.เข้ามาหาอาตมาอีกที ในวันพรุ่งนี้ ถ้าอาตมาเสร็จกิจนิมนต์ตรงนั้น จะไปดูให้ว่าโดนของอะไร จะได้ช่วยกันแก้ไข แต่ขอไปดูที่บ้านก่อน ถึงจะตอบได้ว่าเกิดอะไรขึ้น”

พอถึงวันอังคาร อาตมาไปกิจนิมนต์ที่ตึกสาธร ลูกศิษย์ชาวอังกฤษและชาวสิงคโปร์ เขามาสร้างตึกทำธุรกิจด้านบันเทิง

เสร็จงาน โยมก็มาหา รับอาตมาไปที่บ้าน โยมบอกซื้อบ้านนี้มาในราคา 10 ล้านสามีเป็นชาวจีน ทำธุรกิจขายหลอดไฟฟ้า เจริญก้าวหน้าร่ำรวย สามีเป็นพ่อม่ายลูกติด คบหาอยู่กินกันมาถึง 8 ปี ทาวน์โฮมหลังนี้ อยู่กันแบบครอบครัวเล็กๆเพียง 3-4คน

แรกๆก็ไม่มีอะไร พอนานวันชักผิดสังเกต น้องสาววัย 15 ปี เล่าขานยืนยันเห็นกับตา เป็นคนแก่ ผมยาวสีขาว หน้าตาหน้ากลัว ใส่เสื้อผ้าแบบคนโบราณ มือถือมีดดาบ ลั่นวาจา “กูจะฆ่าพี่สาวมึง ระวังตัวให้ดี กูเอามึงตายแน่”

ผ่านไปไม่กี่วัน คนงานในบ้าน ก็เห็นอีก ลักษณะภาพเหตุการณ์เหมือนกันทุกประการ ทุกคนในบ้านหวาดผวา เหตุยังไม่จบ ผีร้ายที่ว่านี้ ได้เข้าสิงเด็กในบ้าน ซึ่งเป็นเด็กตัวเล็กๆ พูดจาในทำนองเดียวกัน ส่งผลให้น้ำหนักความเชื่อทวีคูณ

สุดท้ายโยมตัดสินใจขนของออกจากบ้าน ไปเช่าโรงแรม อาศัยชั่วคราว แต่ก็อยู่ยาว มาถึง 6 เดือนแล้ว หมดเงินไปเป็นแสน

โยมเล่าต่ออีกว่า ภรรยาเก่าของสามี เป็นชาวอีสาน จังหวัดกาฬสินธุ์ สงสัยว่าเป็นต้นเหตุทำของใส่ ทำให้ที่บ้านมีวิญาณร้ายสิงสถิต

นี่คือมูลเหตุทั้งหมดของเรื่องเลวร้าย โยมตัดสินใจมาหาหลวงพี่ เพราะทราบข่าวว่า “หลวงพี่น้ำฝนเป็นพระเกจิอาจารย์จอมขมังเวทย์” ทายาทศิษย์เอกหลวงพ่อพูล และเคยทราบว่าหลวงพ่อพูลกับหลวงพี่น้ำฝน เคยเดินทางไปดูที่ตั้งศาลพระภูมิมาแล้วหลายบ้าน จึงเชื่อว่าน่าจะช่วยปราบผีได้

สิ่งแรกที่อาตมาต้องทำก็คือ บอกเล่าเก้าสิบให้โยมรับรู้ว่า โดยความเชื่อของคนไทย ตั้งแต่โบราณ เมื่อไปอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ ต้องบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางให้ท่านได้รับรู้ เป็นการขออนุญาต เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ คนไทยคนพุทธส่วนใหญ่ นิยมทำบุญบ้าน เป็นขนบประเพณีไทย ที่ยึดถือปฏิบัติมาช้านาน ทำแล้วดี ทำแล้วสบายใจ ก็ต้องทำ เพราะสิ่งพวกนี้ เรามองไม่เห็น อาตมาไม่ได้สอนให้งมงาย แต่ไม่อยากให้ลบหลู่ดูหมิ่นดูแคลน

จากนั้นอาตมาก็นั่งสมาธิอธิษฐานจิต แผ่เมตตา ตามตำรับตำราหลวงพ่อพูล ที่ท่านได้เคยสอนไว้

อาตมาเทศนาธรรมให้แง่คิด บอกความจริงให้โยมได้รับรู้ว่า บ้านที่โยมอาศัยอยู่นี้ ไม่ได้มีของ หรือมีคุณไสย แต่ประการใด โยมมีแต่ความกลัว ความกังวนใจ ส่งผลให้จิตตก มีอาการหลอน

โยมต้องมีความเชื่อมั่นในตนเอง เชื่อในวัตรปฏิบัติ แห่งคุณงามความดี หมั่นสวดมนต์ ปฏิบัติธรรม เรียนรู้อยู่กับความจริง

ก่อนนอนควรสวดมนต์แผ่เมตตาให้แก่สิงสาลาสัตว์ ผีบ้าน เจ้าที่เจ้าทาง ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว แผ่ส่วนบุญส่วนกุศล เพื่อเป็นการปล่อยวาง เรียนรู้แนวทางมัฌชิมาปฏิปทา การปฏิบัติเป็นกลางๆ ไม่เข้าใกล้ที่สุดสองฝั่ง เดินสายกลาง ตั้งมั่นอยู่ศีล สมาธิ ปัญญา แสงสว่างในชีวิตก็จะเกิดขึ้น

อุทาหรณ์ของเรื่องนี้ โฟกัสไปที่ความกลัว การกลัวผีเป็นอันตรายต่อสุขภาพจิต บางคนกลัวมาก อาจถึงกับช็อคตายไปเลยก็ได้ ถ้าจะให้บอกกับตัวเองว่าเราไม่เชื่อเรื่องผี ก็ไม่ไหว เพราะทั้งที่ปากบอกว่าไม่เชื่อ แต่ใจยังหวาดกลัว เพราะความคิดนี้ฝังตัวอยู่ในสัญชาติญาณ ตราบใดที่โยมยังกลัวตาย ตราบนั้นก็ยังคงต้องกลัวผีอยู่นั่นเอง แล้วทีนี้โยมจะทำอย่างไรดี

พุทธศาสนาเข้าใจถึงจิตใจของปุถุชนดี ท่านจึงสอนวิธีคิดชนิดที่สามารถไปสลายความกลัวผีให้หมดลงไปได้ คือทำให้ความกลัวผีลดน้อยลงไป หรือ ถึงกับเลิกกลัวผีไปเลยก็ยังได้ โดยไม่ต้องไปเลิกเชื่อเรื่องผีแต่อย่างใด

ใช้หลักคิดปรารถนาดีต่อชีวิตทั้งปวง คือสร้างความรักความปรารถนาดีเผื่อแผ่ไปให้แก่ ทุก ๆ ชีวิต โดยจินตนาการให้ความรู้สึก "รัก" นี้แผ่ไพศาลไปทั่วฟ้า มหาสมุทร หรือ ถ้าเป็นสมัยใหม่นี้ ก็ต้องแผ่ไปให้ไกลทั่วแกแล็คซี่ ไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ ความคิด เมตตา เช่นนี้ถ้าคิดได้อย่างต่อเนื่องจนเป็นสมาธิ ก็จะมีพลังมหาศาล สามารถที่จะสลายความกลัวให้หมดไป

คนที่มีเมตตามาก ๆ สามารถที่จะสร้างอิทธิพลในทางบวกให้แก่ผี เช่นแบ่งปันความดีงาม ให้ผีสางนางไม้พลอยได้รับส่วนบุญกุศลอีกด้วย นี้แสดงถึงอำนาจของเมตตาที่มีอำนาจเหนือผี

คนที่มีเจริญเมตตาอยู่ในใจตลอดเวลา จะมีสมาธิดีมาก จนอำนาจภายนอกไม่ สามารถที่จะมาครอบงำหรือหลอกหลอนได้แต่อย่างไร ไปไหนมาไหนสบายใจ ไม่ต้องสะดุ้งกลัว

วิธีคิดสร้างเมตตา ในกรณีต้องไปอยู่ในสถานที่น่ากลัว "ขอให้ทุก ๆ ชีวิต ณ ที่แห่งนี้จงมีความสุข ขอให้สัตว์เล็กสัตว์น้อย ณ ที่แห่งนี้จงสุขกายสุขใจ ขอให้ความรักความปรารถนาดีของฉันจงมีแก่ทุกชีวิต ขอให้ความรักของฉันจงเผื่อแผ่ไปทั่วสกลจักรวาล อย่างไม่มีขอบเขตไม่มีประมาณ ขอให้ต้นไม้ใบหญ้า ทุกต้นทุกใบจงมีความสันติสุข ขอให้ความเป็นมิตรของฉันจงมีแก่ทุก ๆ ชีวิต ณ ที่แห่งนี้ ขอให้ท่านสุขกาย สุขใจ มีสุขภาพจิตใจที่แจ่มใส ขอเผื่อแผ่ความดีงามที่ฉันได้ทำไว้ มอบให้แก่ท่านทั้งหลาย ขอให้ชีวิตทีเศร้าหมองทั้งหลายจงสดใสร่าเริง ขอให้ทุกชีวิตจงมีความสุขใจโดยพลันเทอญ”

วิธีคิดให้เกิดเมตตา สามารถปรุงแต่งเป็นความคิดต่าง ๆ นานาได้ตามความปรารถนา เพียงแต่ว่า ให้อยู่ในประเด็นหลักของเมตตา แผ่ความรักปรารถนาดีไปยังสรรพสัตว์อย่างไม่มีขอบเขตไม่มีประมาณ

คนที่ชอบฝันร้าย หากรู้จักแผ่เมตตาก่อนนอน ก็จะฝันดี มีความสุขทั้งตอนหลับและตื่น หากปฏิบัติได้เป็นประจำก็ดีเยี่ยมเลย...เจริญพร

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556


ทุกข์แน่นอกแม่ ‘ถวิลหา’ ลูกชายวัย 35 ปี
‘ความห่วงใย’ สำนึกที่ลูก ควรสำเหนียก!!

คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม


เจริญพรญาติโยมพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สัปดาห์นี้มีเรื่องของแม่ ที่กำลังทุกข์หนัก เนื่องเพราะลูกชายสุดที่รัก หายออกไปจากบ้าน

แม่ท่านนี้ออกติดตามหา ทุกหนแห่ง ไม่ละความพยายาม แต่บัดนี้ก็ยังไม่เจอ??

สุดท้ายก็ได้มาหาอาตมาที่วัดไผ่ล้อม เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง....อาตมาเข้าใจในทันทีถึงหัวอกของความเป็นแม่….กว่าจะเลี้ยงลูกมาจนเติบใหญ่ ผ่านทุกข์สุขมากมาย และแม่นี่ล่ะ คือ “บุคคลที่อดทนเพื่อลูกมากที่สุด”

เริ่มแรกเมื่อรู้ว่าตั้งครรภ์ หัวใจของแม่พองโต ปีติตั้งแต่อุ้มท้อง 9 เดือน เหนื่อยหนักสุดแสนทรมาน “แต่แม่ก็ยังยิ้มได้เสมอ” เพราะอะไร “ความรักตัวเดียวเท่านั้น” ไม่มีอะไรมาเคลือบแฝงทั้งสิ้น

“แม่กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดู ทะนุทนอม เพื่อให้ลูกเติบใหญ่ อยากเห็นลูกเอาตัวรอดได้ สามารถเลี้ยงชีพได้อย่างไม่ติดขัด หัวใจของแม่ต้องการสร้างและปั้นลูก ให้เป็นคนดีมีคุณภาพ เป็นคนดีของสังคม และประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน”
แต่กรณีรายนี้ อาตมาเชื่อว่า ลูกชายของโยม ยังมีชีวิตอยู่ และยังปลอดภัย เพียงแต่เขาอาจจะมีความต้องการ ออกไปใช้ชีวิตโลดแล่น ตามที่ใจปรารถนา

โยมไม่ต้องไปเสียเวลา กับการคิดมุมลบ หรือพยายามคิดว่าลูกชายโดนของ ถ้าคิดแบบนั้น ตัวโยมก็ทุกข์ “เพิ่มความเครียด ทวีความกังวนใจ” อาตมาอยากให้โยมมองเรื่องลูกชายหายออกไปจากบ้าน ในแง่มุมดีๆ คิดบวก

ลูกชายเขาอาจจะไปทำงานที่ใดที่หนึ่ง ไปแสวงหาความรู้ใหม่ๆ หรือค้นหา สิ่งที่เขาชอบ หรืออยากทดลองทำบางสิ่งที่เขารัก

ถึงเวลานี้แล้ว โยมไม่ต้องไปตามหาอีก เพราะเดี๋ยววันหนึ่ง เขาก็จะกลับมา พร้อมกับความสำเร็จ นับวันเขายิ่งโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ให้เขาไปเรียนรู้โลกกว้างข้างนอกบ้าน เรียนรู้คนหลากหลายอาชีพ และสัมผัสงานแปลกใหม่บ้าง

“อาตมาเข้าใจ โยมทำใจยาก ลำบากที่จะไม่คิดเยอะ แต่โยมต้องคิดให้น้อยลง เพราะที่ผ่านมา โยมได้ทำหน้าที่ของแม่บังเกิดเกล้า อย่างดีบริสุทธิ์ที่สุดแล้ว”
“การรอคอย” ถึงแม้ว่ามันจะทรมาน แต่ถ้าเราสามารถปรับอารมณ์ ให้การรอคอย มีความสุขได้ รอแบบมีเหตุผล รอแบบมีความหวังในทางสร้างสรรค์ “จรรโลงใจ”
ที่สำคัญเขาไม่ใช่เด็กแล้ว โยมบอกลูกชายเกิดปีพ.ศ.2521 ปัจจุบันอายุก็ปาเข้าไป 35 ปีแล้ว โตพอที่จะแยกแยะดีชั่ว เชื่อว่าลึกๆภายในใจของเขา ต้องคิดถึงแม่ สงสารแม่อย่างแน่นอน

เพียงแต่ว่า เขาอาจจะรอความพร้อมบางอย่างในตัวเขา “โลกเรามีไว้เหยียบ ไม่ได้มีไว้แบก อย่าทำชีวิตให้หนัก ทำใจสบายๆ ว่างๆก็ไปทำบุญทำทานสร้างกุศล ชำระใจให้สะอาดบริสุทธิ์ ในโลกใบนี้ไม่มีใครอยู่ยาวนานเป็นอมตะไม่ตาย สุดท้ายก็ลงโลงกันหมด” ปลงเสียบ้างก็น่าจะดีนะโยม

โยมฝึกสอนตนเอง ....ระหว่างที่โยมยังมีลมหายใจ ควรมองโลกในแง่ดี ในส่วนของลูกๆ ก็ควรมองพ่อแม่ในแง่ดีเช่นกัน อย่ามีอคติกับผู้ให้กำเนิด ลูกบางคนคิดเพียงว่า พ่อแม่ต้องดูแลเราทุกลมหายใจ จริงๆแล้วเราต้องขอบคุณท่าน ที่ทำให้เราเกิดมา เราต้องตอบแทนท่าน ไม่ใช่โยนภาระให้ท่านทั้งหมด

เมื่อเกิดมาแล้วต้องช่วยกัน ให้ความรัก ให้ความเมตตา เสียสละต่อกัน อย่าเห็นแก่ตัว อย่าเห็นแก่ได้ ทุกลมหายใจเข้าออก ควรมีแต่ความสดชื่นและเบิกบานใจ

ส่วนอุปสรรคปัญหานั้น ต้องแก้กันไปทีละเปลาะ พอปัญหาเจือจาง ใจก็สว่าง มีพลังกำลังใจในการดำเนินชีวิตสืบต่อไป

“ในฐานะที่โยมเป็นแม่ ต้องเป็นเสาหลัก ใจต้องนิ่ง ถ้าแม่ใจแย่ หรือท้อแท้เสียแล้ว ลูกๆจะอยู่อย่างไร ถ้าที่พึ่งทางใจสั่นคลอนหวั่นไหวอ่อนแอโอนเอน”

วันนี้โยมยังมีลูกสาวอีกคนหนึ่งที่อยู่ด้วยกัน อย่างน้อยก็มิได้อยู่ตัวคนเดียว มีอะไรก็ปรึกษาหารือกัน ลูกสาวจะเข้าใจแม่มากกว่าลูกชาย ด้วยความเป็นเพศเดียวกัน ในความเป็นผู้หญิงจะมีความลึกซึ้งมากกว่า ลูกสาวรู้ว่าแม่ต้องการอะไร คิดอะไร การปลอบประโลมถือเป็นสิ่งสำคัญ “ต้องอยู่กับแบบอบอุ่น”

โยมต้องดูแลสุขภาพร่างกายตนเอง อย่าถดถอย ทดท้อ รักษาสุขภาพกาย ดูแลสุขภาพใจ ถ้าโยมอ่อนแอ โรคภัยไข้เจ็บก็มาเยือน ถ้าป่วยไม่สบายไป เดี๋ยวก็ยุ่งเพิ่มขึ้นอีก

ส่วนลูกชายถ้าได้อ่านเรื่องนี้ ก็ขอให้จงทราบไว้ว่า แม่นั้นรักเราเพียงไร น่าสงสารแม่แค่ไหน อุตสาห์ไปตะลอนๆตามหา ด้วยความห่วงใย ลูกชายถ้าทราบข่าวนี้แล้ว จงสำนึก และถ้าพร้อมเมื่อไหร่ ก็จงกลับมาเยี่ยมมาหาแม่ กลับมาดูแล ตอบแทนบุญคุณท่าน

“ความกตัญญูกตเวที” มีอยู่กับใครก็ตาม ชีวิตจะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง การได้ดูแลพ่อแม่ และไม่ทำให้ท่านต้องเสียใจ ถือเป็นบุญใหญ่ของมนุษย์ทุกคน
น้อย ถือเป็นสิ่งประเสริฐ ลูกที่บูชาพ่อแม่ “ชีวิตจะไม่ตกอับ” ถึงจะมีเรื่องร้ายๆ เข้ามาในชีวิต
ลูกที่ทำให้พ่อแม่มีความสุขตามอัตภาพ ไม่มากก็“เรื่องหนักก็จะกลายเป็นเบา เศร้าก็จะมลายหายไป”

ลูกส่วนใหญ่ที่ได้ดี มักมาจากลูกที่เชื่อฟังพ่อแม่ การอบรมสั่งสอนของพ่อแม่ มีแต่ความเป็นสิริมงคลในชีวิต พระองค์สำคัญที่สุดในชีวิตลูก คือ “แม่พระของเรานั่นเอง” จงจำไว้

พระองค์สำคัญประจำบ้าน ที่ควรกราบขอพร และเชื่อฟัง นำไปเป็นแบบอย่าง หรือแขวนติดกายติดใจไว้เสมอ คือ แม่กับพ่อของเรา ถ้ามีท่านอยู่ตลอดเวลา ท่านก็คุ้มภัยเราได้ตลอดเวลาเช่นกัน

เรื่องพุทธคุณไม่ต้องพูดถึง ประสบการณ์ในทางดีๆ มีให้เห็นมากมาย แค่คิดถึงแม่ก็แคล้วคลาดปลอดภัย เดินทางไปไหน ก็มีแต่ความสุขความเจริญ

ลูกๆถ้าจำเป็นต้องจากพ่อแม่ ก็ขอให้จากเพียงกาย ใจอย่าจากกัน “ใจควรถึงใจ” สื่อประสานไว้ตลอดเวลา นับเป็นความหมายที่ดีระหว่าง แม่กับลูก ความพันผูก หรือความผูกพัน ระหว่างแม่กับลูก คือสายใย ไม่มีวันที่จะขาดจากกันอย่างแน่นอน

สุดท้ายนี้อาตมาขอให้แม่ลูกทั้งหลาย จงมีความเชื่อมั่น ในการหมั่นทำความดี ละเว้นความชั่ว

ถ้าหลงผิดคิดพลาด ก็จงกลับเนื้อกลับตัวเสียใหม่ ไม่มีสิ่งใดสำคัญเท่ากับการให้อภัยตนเอง “ผิดเป็นครู” เป็นบทเรียนสอนใจ เพื่อนำมาแก้ไขปรับปรุง

เมื่อปรุงจนได้ที่ ชีวิตก็ไม่สับสน “รู้เท่าทัน ผิดชอบชั่วดี” เมื่อความคิดตรงนี้ ผ่านกระบวนการเพาะบ่ม งอกงามดีแล้ว ก็จะสามารถต่อยอด ถ่ายทอดไปสอนผู้อื่นได้เช่นกัน

สัปดาห์นี้ท่านผู้อ่านทุกท่าน คงจะได้เห็นสัจจะธรรมของความเป็นแม่ ที่อาทรลูกมากขนาดไหน แล้วใยลูกจะไม่สำนึกสำเหนียกบ้างเชียวหรือ....ขอเจริญพร

วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

“หนุ่มเซี่ยงไฮ้นิสัยดี” ไม่อยากมีลูก แต่แฟนอยากมี !?! 
สุดท้าย Converse ปิดตำนานซีรีย์ “รักนี้ชั่วนิจนิรันดร์”

คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม

เจริญพรญาติโยมทุกท่าน อาตมามีโอกาสได้รับกิจนิมนต์เดินทางไปเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน

เซี่ยงไฮ้ หรือ ซ่างไห่ เมืองที่ดูดเงินทุนเข้ามามหาศาล เป็นมหานครสมญาปารีสตะวันออก ฉายแสงเจิดจรัสข่มรัศมีฮ่องกงให้หม่นมัวในพริบตา

ตึกสูงระฟ้า หาใช่ใจคนจักสูงสง่าตามไม่ ทางด่วนสับสนวุ่นวาย ใช่ใจคนจักรู้พอไม่ โรงแรมหรู ธนาคารหลาก ศูนย์กลางด้านการเงินเด่นในโลก ใช่คนเหล่านี้จักไม่ทุกข์ และทั้งมวลนี้คือที่มาของการไปเยือน!?!

อาตมาได้รับเกียรติ เพราะโยมลูกศิษย์ชาวจีน เขานิมนต์ให้ไปชี้ทางออก บอกทางธรรม ให้กับญาติโยมพี่น้องคนจีน เมืองซ่างไห่หรือเซี่ยงไฮ้ ที่ร้องขอมา

อาตมาให้แสงสว่างผ่านล่าม เพื่อแปลเป็นภาษาจีน จะได้สื่อสารให้เข้าใจ....

เริ่มที่ ชายหนุ่มรายนี้ เขามีเรื่องราวที่น่าสนใจ อาตมาคิดว่าน่าจะเป็นอุทาหรณ์สอนใจญาติโยมคนหนุ่ม-สาวชาวไทยของเราได้บ้างไม่มากก็น้อย???
หนุ่มรายนี้ รูปหล่อหน้าตาดี ออกแนวตี๋ทันสมัย อายุประมาณ 30 ปี สีหน้าของโยมตี๋หล่อ ที่เข้ามาพบในวันนั้น สภาพดูอิดโรย เหมือนคนอมทุกข์ แววตาซึมเศร้า เหงาทรวง อย่างเห็นได้ชัด

เขาเล่าให้ฟังว่า....“ผมมีชีวิตการงานดี การเงินดี แต่ความรักสะดุด เหมือนรถหยุดไฟแดง ที่ผ่านมาผมมีคนรัก เธอทั้งสาวและสวย ขาวหมวยหน้าตาดี แรกๆก็ทดลองคบกัน มีความสุขดีทุกวัน ไม่บกพร่อง เธองามทั้งกายและใจ ขยันทำงาน มีความสามารถทำงานเก่ง ฐานะครอบครัวการเงินดีพร้อม”

ความรักดำเนินไปอย่างราบรื่น และเมื่อความรักสุกงอม เราทั้งสองเตรียมพร้อม ที่จะเข้าสู่ประตูวิวาห์ งานก็พร้อม เงินก็พร้อม เพื่อนฝูงก็เชียร์ พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายเห็นดีเห็นงาม

เขาวาดฝันถึงอนาคต งานแต่งงาน ของชำร่วย เรือนหอ เตรียมมองไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมที่จัดงานก็เล็งไว้แล้วเช่นกัน

ฝ่ายหญิงมีคำถามที่ตั้งขึ้นเป็นประเด็นสำคัญ แต่งงานกันแล้ว เธออยากมีลูกน้อย จะหญิงก็ได้ จะชายก็ดี เธอถามฝ่ายชาย “โอเคมั้ย”

ฝ่ายชายรู้สึกอึดอัดใจ คำตอบมันติดอยู่ที่ลำคอ “ผมไม่อยากมีลูก” คำตอบนี้ทำเอาฝ่ายหญิง ถึงกับทำหน้างง “ทำไมถึงไม่อยากมี”

“ผมไม่มีเหตุผล” แต่ผมคิดว่าการดำเนินชีวิตให้มีความสุข ไม่จำเป็นต้องมีลูก เราอยู่กันเพียงสองคน ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ทำไมต้องหาห่วงมาผูกคอ

นี่คือเหตุผลที่แท้จริงของฝ่ายชาย แต่ฝ่ายหญิงรู้สึกหดหู่ใจ เธออยากร้องไห้ เธอเสียใจ เธออยากมีลูกน้อยไว้อุ้มเล่นแก้เหงา เธออยากมีทายาท อยากมีเพื่อนในยามทุกข์ อยากให้ลูกเลี้ยงดูเธอยามแก่เฒ่า

ทั้งที่ความรักไม่มีอุปสรรคอะไร แต่แนวทางในอนาคต มันออกมาคนละมุม ทั้งคู่ก็เสียใจ สุดท้ายก็ต้องเลิกรา ห่างเหินกันไป ตามวันเวลา

ฝ่ายชายยืนยัน “ผมยังรอให้เธอพบคนใหม่ อยากเห็นเธอสมหวังในความรัก สมหวังในความปรารถนาที่อยากจะมีลูก ผมจะรอจนกว่าเธอพบคนใหม่ แล้วถึงค่อยมองหาคนใหม่เช่นกัน”

หลวงพี่ครับ ผมทำอย่างนี้ คิดอย่างนี้ ผิดหรือไม่...

อาตมาตอบ...โยมทำถูกแล้ว การบอกฝ่ายหญิงไปตามตรงว่าไม่อยากมีลูก คือการตัดสินใจถูกต้อง ดีกว่าแต่งงานแต่งการไปแล้ว ถึงไปบอกว่าไม่อยากมีลูก สุดท้ายก็ต้องเลิกรา กลายเป็นปมปัญหา อาจถึงขั้นทะเลาะเบาะแว้ง ต้องอย่าร้างเลิกรา พาลให้เสียเวลา เสียใจในภายหลัง

และการที่โยมยังรอให้เขาพบคนใหม่ แล้วค่อยมองหาคนใหม่ นี่คือสปิริตที่แท้จริงของลูกผู้ชาย

แต่วันนี้โยมยังมีหน้าตาที่อมทุกข์ โยมทุกข์เพราะเรื่องที่ยังรักเขาอยู่ ทุกข์เกิดขึ้นเพราะเราไม่ยอมรับความจริง

ควรทำใจให้สุข อะไรก็เกิดขึ้นได้ในชีวิต เราไม่รู้หรอก ยกตัวอย่างเช่น ความตาย ซึ่งมันจะมาถึงเมื่อไรเราก็ไม่รู้ ถึงเราไม่ตายคนใกล้ตัวเราอาจจะตายก็ได้

เพราะฉะนั้นชีวิตจึงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน

เรื่องความรักก็ไม่แน่นอน มันคล้ายโรคระบาด มันกระจายความทุกข์ไปทั่ว มันกระเพื่อมไหวตลอดเวลา

สิ่งที่จะช่วยให้โยมมีความสุขได้ก็คือ ธรรมะ…ธรรมะจะช่วยให้จิตใจของโยมมั่นคง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

โดยเฉพาะยามมีความทุกข์ มีความรัก อกหัก ใจขาดปัญญา คิดไม่ออกว่าจะเอาอย่างไรดีในชีวิต ธรรมะช่วยได้

กรณีของโยม เข้าข่าย ยังห่วงเขา ยังตัดไม่ลง ลึกๆยังคิดถึงอยู่ตลอดเวลา

และนี่ล่ะคือความทุกข์ มันมาได้เพราะใจเรายอมรับสภาวะที่กำลังปรากฏต่อหน้าต่อตาไม่ได้

เช่น คิดถึงมากมาย จนกลายเป็นความทุกข์ทางใจ โยมต้องยอมรับสภาพ การพบ การจาก การแยกทาง

ควรปล่อยวาง ไม่แบก ถ้าแบกรักไว้ ก็เท่ากับแบกความทุกข์ทางจิตใจไว้เต็มๆ

โยมจะต้องยอมรับความทุกข์ให้ได้ อย่าทุกข์ซ้ำอีก ยอมรับว่าจะต้องพลัดพรากจากคนที่รัก

และจะต้องเจอสิ่งที่ไม่รัก ให้คิดแบบนี้ ยอมรับความจริงว่าจะต้องผิดหวังในชีวิตบ้าง

ถ้าเรายอมรับความจริงได้ว่า ชีวิตมันเป็นเช่นนี้ ใจก็จะร่ม หน้าตาก็จะหายหม่นหมอง ให้คิดเสียว่า ทุกอย่างผ่านมาแล้วผ่านไปตลอดเวลา

เมื่อยอมรับความจริงตรงนี้ได้ ก็จะไม่ทุกข์ และที่ใจมันทุกข์เพราะมันไม่ยอมรับความจริง อยากฝืนความจริง เช่น อยากมีความสุขถาวร อยากสงบถาวร อยากดีถาวร อะไรดีๆ อยากจะให้ถาวร อะไรไม่ดีก็ไม่อยากให้มีถาวร อยากถาวรเหมือนกันแต่ถาวรในเชิงลบคือไม่มี

ถ้าโยมต้องการลดความอยาก โยมต้องหันมาหัดสวดมนต์ จะได้เกิดสมาธิ เกิดสติปัญญา ไม่ใช่เพื่อจะไม่ต้องพบความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก ความไม่สมหวัง แต่อาตมาให้โยมสวดมนต์ เพื่อให้เห็นความจริง

ความจริงในโลกนี้มันบกพร่องอยู่ตลอดเวลา มันไม่สมอยากเสมอไป มีแต่ความไม่สมอยากเกิดขึ้นตลอดเวลา อยากอย่างนี้มันไม่ได้ มันได้แป๊ปเดียว เดี๋ยวก็หายไปอยากอย่างอื่นอีก ในโลกนี้บกพร่องอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยเต็ม ไม่เคยอิ่ม

“ความสุข” มันเป็นของ “ชั่วคราว”แล้วเราจะไปเสียแรงรักษามันไว้ทำไม

“ความทุกข์” มันก็เป็นของ “ชั่วคราว”แล้วเราจะไปเสียแรงกำจัดมันทำไม

เมื่อเห็นความจริงอย่างนี้แล้วเรายังจะแสวงหาความสุขถาวรที่ไม่มีจริงอยู่อีกหรือจงใช้ชีวิตอย่างที่มันเป็น???


ในการดำเนินชีวิต จงจำไว้ว่า ต้องรู้จักพอ แม้เรื่องความรัก ก็ต้องทำใจให้รู้จักพอเช่นเดียวกัน...เพราะโลกใบนี้ ไม่มีรักนี้ชั่วนิจนิรันดร์อย่างแน่นอน มีแต่พบเพื่อจาก เพื่อรอ Converse เพื่อรอปิดตำนาน วันที่ตายจากกัน ...ขอเจริญพร

พิธีขอขมากรรม ส่งท้ายปีเก่ารับพรปีใหม่

บทความที่ได้รับความนิยม