ร่วมบูชาวัตถุมงคล วัดไผ่ล้อม นครปฐม

วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2556

!! เลี้ยงลูก ให้เป็นโจร !!

‘ เพราะรักลูก ไม่ถูกทาง ’

คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม

เจริญพรคุณโยมผู้อ่านทุกท่าน สัปดาห์นี้อาตมานำเรื่องแม่ ที่เลี้ยงลูกทะนุถนอม กล่อมเกลี้ยง บ่มเพาะเสกสรรปั้นแต่ง จนเติบใหญ่ แต่หารู้ไม่ที่ผ่านมา วิถีแนวทางในการสอนผิดเพี้ยน แปลงความถูกต้องเป็นความถูกใจ ส่งผลให้แนวปฏิบัติผันแปร ผิดวิสัย ที่ควรจะเป็นไปตามครรลอง ครองธรรม ยึดอารมณ์ “ตัวกู ของกู” ที่สำคัญวิธีคิดของผู้เป็นแม่ สอนลูกแบบตามใจตนเอง อยู่เหนือเหตุผล ล้วนเป็นการสอนที่ผิดพลาดอย่างมหันต์

ฉะนั้นเรื่องในสัปดาห์นี้ เป็นการถ่ายทอด จากเรื่องจริงทุกกระเบียดนิ้ว อาตมาเก็บรายละเอียด เพราะเรื่องนี้ละเอียดอ่อน โดยเฉพาะผู้เป็นแม่ เป็นศิษย์ใกล้ชิด ก้นกุฏิวัดไผ่ล้อม เห็นกันมาตั้งแต่ครา “พระเดชพระคุณหลวงพ่อพูล อัตตะรักโข” ยังมีชีวิตอยู่ ผูกพันนานนับ 20 ปี

จวบจนวันนี้ เลยเถิดต่อยอด มาถึงยุคอาตมา ในฐานะเจ้าอาวาส รับภาระอุปถัมภ์ตามวิสัยผู้นำบวร
“บ้าน วัด โรงเรียน” อาตมานำพานาวาใหญ่มีทั้งพระภิกษุ สามเณร ฆราวาส อุบาสก อุบาสิกา ให้เดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงแข็งแรง

ย้อนมาเข้าเรื่อง ปัจจุบันผู้เป็นแม่ ช่วยงานอยู่ที่วัด สืบทอดมาถึงรุ่นลูกๆ อาตมาก็ยังคงเป็นเสาหลักคุ้มชู ดูแลไม่ให้ทุกคนในครอบครัวนี้ต้องลำบาก เพราะอาตมาถือว่า พวกเขาเหล่านี้ คือมรดกของหลวงพ่อพูล ที่ทิ้งไว้ให้อาตมา ได้แสดงความกตัญญูกตเวทีอย่างถ่องแท้ เป็นการสงเคราะห์ สร้างคนให้เป็นคนสืบต่อไป

สำหรับผู้เป็นแม่ อาตมาให้ช่วยงานด้านโรงทาน ทำอาหารเลี้ยงญาติโยมเวลาทางวัดจัดงานบุญ ส่วนลูกๆ ก็ช่วยด้านปัจจัย ให้เขาได้มีโอกาสด้านการศึกษา เพราะฐานะครอบครัวนี้ อยู่ในเกณฑ์ยากจน ฝ่ายพ่อทำงานคนเดียว เลี้ยงถึง 4 ปาก 4 ท้อง อิ่มบ้างอดบ้างตามมีตามเกิด

พอเด็กๆทั้ง 3 คนเข้าสู่วัยเรียน คนโตจบก่อน อาตมาให้ทำงานประจำอยู่ที่วัด

ให้เงินเดือนตามวุฒิที่เรียนจบมา มีเบี้ยเลี้ยง มีประกันสังคม ดูแลอย่างดี ไม่ให้ลำบากแต่ประการใด

ครอบครัวขนาดย่อมๆนี้ มีลูกชายถึง 3 คน อายุไล่เรียงกัน การดูแลถือว่ายากยิ่ง เพราะเป็นเด็กผู้ชาย ย่อมต้องซุกซนตามธรรมชาติ

เด็กผู้ชาย เกเรตามสไตล์ พ่อแม่ต้องเหนื่อยหน่าย คุมเข้มทุกกระเบียดนิ้ว ไปรับไปส่งไม่ให้คลาดสายตา แต่อย่าลืมว่า เด็กพวกนี้เขามีโลกส่วนตัว เกเรเงียบๆ ต่อหน้าแม่ก็สุภาพอ่อนโยน นอบน้อม เหมือนผ้าพับไว้ พอลับหลังอยู่กับเพื่อน ก็ออกฤทธิ์เดช มีความห้าว คึกคะนองแบบผิดๆ

อาตมาโฟกัสไปที่คนโตก่อน ถ้ามองภายนอกโดยรวม คนโตเป็นเด็กเรียบร้อย สุภาพอ่อนโยน คนกลางก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดี ส่วนคนสุดท้อง ค่อนข้างจะเกเรมาก

ส่วนพ่อนั้น ค่อนไปทางเงียบขรึม ไม่พูดมาก ส่วนใหญ่ให้แม่ จัดการอบรมบ่มนิสัย ความผูกพันของลูก จึงสนิทชิดเชื้อกับแม่มากกว่าพ่อ

แต่การสอนของแม่ มีปัญหามากๆ เท่าที่อาตมาสังเกต คือการเลี้ยงลูกที่ตามใจ ให้ท้าย เข้าข้างในทางที่ผิด พอลูกไปทำอะไรผิด แม่ก็จะฟันธง ให้ลูกถูกเสมอ

สุดท้ายลูกเสียคน เพราะแม่ถือหางตลอดเวลา คนโตมีปัญหาเรื่องการเงิน เพราะใช้เงินไม่เป็น ชอบซื้อโทรศัพท์ เปลี่ยนทุกครั้ง ที่รุ่นใหม่ออกมา เรียกว่า บ้าเทคโนโลยี ซื้อไปซื้อมา เงินไม่พอใช้ ชักหน้าไม่ถึงหลัง ต้องไปหยิบยืมเพื่อนฝูง ติดนิสัยโกหก เพราะเวลาไปยืมต้องโกหกเพื่อน สร้างเรื่องไปต่างๆนานา เพื่อให้เพื่อนสงสาร จะได้ให้ยืมเงิน ใช้คืนทันบ้างไม่ทันบ้าง กลายเป็น “ดินพอกหางหมู” พอไม่มีจ่ายจริงๆก็ไปยืมพวกหัวปิงปอง ร้อยละยี่สิบ ส่งรายวัน ถ้าไม่มีเงินส่ง เขามาทวงมากๆไม่มีให้ ก็จะถูกทำร้าย

สำหรับรายพี่ชายคนโต หัวปิงปองมาทวงถึงวัด อาตมาต้องให้เงินไปใช้หนี้เขา จากนั้นเรียกมาอบรม สอนสั่งอย่าทำอีก ครั้งนี้ถือเป็นบทเรียน ส่วนเรื่องชอบซื้อโทรศัพท์รุ่นใหม่ๆ สอนให้เปลี่ยนนิสัย อย่าทำอะไรเกินตัว “เห็นช้างขี้ อย่าไปขี้ตามช้าง”

ส่วนคนกลาง ปัญหาน้อยที่สุด เรียนจบ เขาก็ไปทำงาน แต่งงานแต่งการ ออกเรือนไป ยืนได้ด้วยตัวเอง แค่นิสัยหัวรั้นกับแม่ แต่ชีวิตก็ไปได้ดี เพราะคนกลาง ฉีกแนวไม่ยอมอยู่ในอ้อมอกแม่ตลอดเวลา จึงไม่เป็นลูกแหง่ ที่อะไรๆก็แม่ตลอดเวลา ถือว่าไปได้ดี สร้างครอบครัวใหม่ ประสบความสำเร็จ “อาตมาร่วมอนุโมทนาสาธุด้วย”

มาที่น้องคนสุดท้อง รายนี้เกเรสุดๆ ยังเรียนในระดับมัธยม เงียบขรึม แต่พอลับหลังลิงทโมนดีๆนี่เอง สุดยอดโกหกเก่งมาก ชอบแอบอ้างผู้ใหญ่ ทำตัววางตนหน้าใหญ่ใจโต โชว์เพื่อน ใช้เงินเก่ง สร้างวีรกรรมไว้มากมาย แต่แม่ก็รักมากที่สุด แม่ตามใจมากกว่าใคร ล่าสุดสร้างวีรกรรม ขโมยสร้อยคอทองคำของแม่ไปขาย แล้วตบตาแม่ ด้วยการซื้อทองปลอม มาใส่คืนไว้ วันดีคืนดี แม่จะหยิบมาใส่ เจอทองปลอมเข้าเต็มเปา ถึงกับลมแทบใส่

สุดท้ายแม่เขาส่ง มาให้อาตมาช่วยอบรม ส่วนหนึ่งอาตมาโทษแม่เขาด้วย ที่มีส่วนทำให้ลูกเสียคน เพราะใช้วิธีการสอนที่ผิด รักลูกไม่ถูกทาง ไม่เข้มงวด ไม่มีความเด็ดขาด

โบราณสอน “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ดี” ถ้าลูกทำผิด ต้องเฆี่ยนตีบ้าง ให้หลาบจำ ไม้เรียวช่วยได้ในยามที่ลูกหลงทาง ตีให้สำนึก ไม่ได้ตีให้ตาย

คำสอนดีๆจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์ จึงมีความหมาย มีผลในทางบวก ถ้าเชื่อฟัง แล้วนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง

ฉะนั้นตัวอย่างของเรื่องนี้ เป็นอุทาหรณ์ สอนแม่ของลูกได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะวิธีคิด การอบรมลูก อย่ายุยงส่งเสริมในทางที่ผิด ถ้าอยากให้ลูกได้ดีต้องบ่มเพาะอย่างรู้เท่าทัน เด็กรุ่นใหม่สมองไว ฉลาดแกมโกง แม่ต้องทันเกม ต้องมีทั้งพระเดชและพระคุณ ต้องระวังพฤติกรรม “การตีหน้าเศร้า เล่าความเท็จ” ต้องเด็ดขาดในยามที่ลูกทำผิด ต้องชื่นชมในยามที่ลูกทำดี พบกันครึ่งทาง เดินสายกลาง ใช้ความ ใกล้ชิด รับฟังปัญหาปรึกษาหารือ สุดท้ายลูกก็จะไม่เสียคน!!!

ยกตัวอย่างอาตมาเอง ก็ยังต้องมีครูบาอาจารย์เช่นกัน พ่ออาตมาในทางสงฆ์ คือ พระเดชพระคุณ พระพรหมสุธี วัดสระเกศ อาตมานับถือท่านเหมือนพ่อ ท่านสอนสั่งแนะนำทุกเรื่องด้วยเหตุผล เตือนสติอาตมา ในยามที่อาตมาเจอปัญหา

ท่านจะคอยให้คำแนะนำด้วยความเมตตา อาตมายึดถือปฏิบัติ ส่งผลให้สามารถผ่านพ้นอุปสรรคปัญหาไปได้เป็นอย่างดีเยี่ยม เพราะการเชื่อฟังผู้ใหญ่ และอยู่ในโอวาทด้วยความบริสุทธิ์จริงใจ

อาตมาได้รับคำสอนมาตั้งแต่ครา ท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์ เกี่ยว อุปเสโณ ท่านเดินทางมาที่วัดไผ่ล้อม มอบตำแหน่ง พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ ให้อาตมา และท่านได้อบรมอาตมา บอกให้เชื่อฟังท่านเจ้าคุณ พระพรหมสุธี จากวันนั้นถือวันนี้ อาตมายังคงเสมอต้นเสมอปลาย เชื่อฟังตามคำสอนของเจ้าประคุณสมเด็จฯทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ อาตมาต้องไปปรึกษาหารือ และทำตามคำสอนของพ่อ ทุกประการ

การเชื่อฟังผู้ใหญ่ ที่ท่านผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อน ประสบการณ์ชีวิตของผู้ใหญ่ ย่อมเข้มแข็งและมีคุณค่าเสมอ

ลูกทุกคน ถ้าเชื่อคำสอนของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ชีวิตย่อมมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองเสมอ...ขอเจริญพร

วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เรื่องมันเศร้า!?! สามีที่แสนดี ปลุกผีว่ายน้ำ “นกเขาไม่ขัน”
ภรรยาเซ็ง ราวดั่งชะตากรรมตายด้านชั่วนิรันดร์ท้ารบขอมีใหม่

คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม

เจริญพรคุณโยมทุกท่าน ขณะนั่งปั่นต้นฉบับ เป็นวันที่เพิ่งกลับถึงประเทศไทย ด้วยกิจนิมนต์ ไปเทศน์ จุดไฟในใจคน นครลอสแองเจลิส มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา


กลับมา จีวรยังไม่ทันหายเปียก โยมโทร.เข้ามา ด้วยความร้อนใจ เสียงโยมผู้ชายวัยกลางคน เล่าขานรับราชการ ระดับหัวหน้า อ่านมติชนสุดสัปดาห์ประจำ รอคิวเมื่อไหร่หนอ จะมีเรื่องราวใกล้เคียงโยมบ้าง รอจนแล้วจนรอด ยังไม่ได้ยลเรื่องแนวเดียวกันเสียที อดรนทนไม่ไหว รีบโทรศัพท์หาอาตมา


หลวงพี่ผมมีปัญหา เรื่องเศร้าเล่าให้ฟัง เบื้องต้นขอบอกก่อน ผมอายุ 54 ภรรยา 42 ยังสาวสวย ส่วนผมพอใช้ได้ การงานดี เป็นหัวหน้าส่วนราชการ มีลูกน้องร่วม 50 คน มีลูกสาวน่ารัก 2 คน คนโตเรียนม.3 คนเล็ก ม.1 ชีวิตผมอาภัพ นกเขาผมมันไม่ขันอ่อนปวกเปียกนิ่งสนิทแล้วครับ


โยมเปิดประเด็นมาเยี่ยงนี้ อาตมาถึงกับไปไม่เป็น ทั้งมึน ทั้งงง ไม่รู้จะตอบยังไง พลิกตำราไม่ถูก อารมณ์ห้วงนั้นเหมือน “เวิ้งฟ้ากะลาครอบ”


พอตั้งสติ เลยถามไปว่า แล้วโยมจะทำยังไง ถ้าไม่ปลง ระหว่างนั้น บอกตามตรงอาตมาก็ต้องใช้สติในการจุดไฟเช่นกัน


หลวงพี่ผมไม่มีความสามารถทำการบ้านให้ภรรยา เธอบ่นทุกครั้งที่นอนด้วยกัน เพราะเธอยังมีความต้องการทางเพศสูงอยู่ เธอให้เวลาผม 5 ปี นี่ก็ครบแล้ว


ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไง ในเมื่อนกเขามันไม่ยอมขันจริงๆ สุดท้ายวันแห่งความเจ็บปวดที่สุดในชีวิตผมก็มาถึง ภรรยาเธอลั่นวาจา ว่าเธอไม่ผิดที่ผมไม่สามารถทำการบ้านได้ ฉะนั้นเธอก็จะขอไปมีอะไรกับชายอื่น ที่พร้อมรบมากกว่า


ผมได้ยินประโยคนี้จากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยา และเป็นแม่ของลูกสาวทั้ง 2 คน สมองมันเย็นชาไปหมด คิดอะไรไม่ออก และไม่คิดว่าเธอจะพูดคำนี้ออกมา


ใจเย็นคุณโยม ไม่ต้องเศร้า เราเป็นผู้ชาย ต้องเข้มแข็งเข้าไว้ ในฐานะหัวหน้าครอบครัว เราเป็นพ่อบ้าน จะอ่อนแอไม่ได้


ในส่วนของเรื่องเพศ วางมันไว้ มันเป็นเรื่องของเวรกรรม คนเราเกิดมาไม่เท่ากัน สูงต่ำ ดำขาว สั้นยาว แข็งไม่แข็ง “มันเป็นธรรมชาติกรรม เหมือนหมอกควัน” ตามวาระ ตามเวลา เป็นเรื่องของร่างกายบวกจิตใจ


โยมไม่ผิด ที่เกิดมาพอถึงวัย 54 ปี แล้ว “ของดีไม่ทำงาน” อะไหล่มันเสื่อมกันได้ เหมือนรถยนต์ใช้มานาน ซ่อมบานตะเกียง


ถึงแม้จะเสื่อมเร็วผิดปกติก็ตาม โยมไม่ใช่คนเลว โยมไม่ได้ทำผิดศีลธรรมอะไร??? แค่โชคร้ายปริซึมนิดหน่อย


สิ่งที่อาตมาจะให้แง่คิด ในเบื้องต้น ณ เวลานี้ คือต้อง “ปลง”


แต่คนที่ยังปลงไม่ได้คือ ภรรยาของโยม เขายังอยู่ในวังวนของ “กิเลส ตัณหา ราคะ” เขาลืมคิดไปว่า ชีวิตคู่ ชีวิตครอบครัว ความสุขเรื่องเพศสังวาสไม่ใช่สาระสำคัญ


ความสุขที่แท้จริงในการดำเนินชีวิต คือการพอใจ ในความเป็นเพื่อน อยู่ร่วมกันอย่างถ่อยทีถ่อยอาศัย


รักใคร่ชอบพอกันที่คุณงามความดี ดำเนินชีวิตด้วยวัตรปฏิบัติที่งดงาม ไม่ทำผิดศีล มีใจเป็นกุศล เมตตา เสียสละ ให้อภัย ใจบุญ แค่นี้จบ


ชีวิตคู่สุขสม รักลูก ไม่นอกใจภรรยา นี่ถือว่าสุดยอดแล้ว


คนเป็นภรรยาต้องปลง ถึงแม้สามีจะมีร่างกายไม่แข็งแรง แต่ถ้าเขาเป็นคนดี ก็ถือว่าโชคดีสุดๆแล้วในชีวิต


ยังไงก็ให้นึกถึงลูก นี่ถ้าลูกรู้ว่า แม่คิดจะไปหาผู้ชายคนใหม่ แค่เพียงต้องการประชดพ่อ ว่าหมดประสิทธิภาพทางเพศ


ถ้าลูกมันรู้ มันจะคิดอย่างไร ว่าคนระดับเป็นแม่คนแล้ว อายุก็มากถึงวัยกลางคน 42 ปี ยังปลงไม่ได้


นี่ถ้าไปหาชายใหม่จริงๆ สังคมไทยเขาประณามว่า เป็น “กากี” แต่ถ้าเป็นผู้ชายสังคมไทยยังประณามน้อยหน่อย แต่ถ้าเป็นผู้หญิงเรื่องใหญ่ “โลกประณาม” และลูกจะรังเกียจการกระทำของแม่อย่างแน่นอน


การเป็นแม่คน ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีเพื่อลูก ฉะนั้นควรมาคิดเรื่องครอบครัวจะดีกว่า ดูแลลูก สามี ให้มีความสุข โดยเฉพาะลูกทั้ง 2 ต้องอยู่กับเขา เล่นกับเขา เป็นทั้งเพื่อน เป็นทั้งแม่ที่สมบูรณ์ให้ได้ เพราะน้องเขาเป็นเด็กผู้หญิงทั้งคู่ พ่อแม่ยังต้องดูแลอย่างดี


ฝ่ายภรรยาควรเมตตาดูแลสามี เอาธรรมะชโลมจิตใจตนเองให้ชุ่ม ดูแลกันตอนแก่ไข้ได้ป่วย การดำเนินชีวิตใกล้ความตายเข้าไปทุกที ให้คิดไว้เสมอว่า ต่างคนก็ต่างทุกข์ไม่น้อยไปกว่ากันหรอก ฝ่ายหนึ่งมีร่างกายไม่แข็งแรง อีกฝ่ายหนึ่งยังมีเรื่องบนเตียงครบ “ยังอยากถูกกระทำ” เพราะคิดว่านั่นคือความสุข แต่จริงๆแล้ว มันเป็นความสุขชั่วคราว  “หมดเสียวก็หมดสุข –หมดสุขก็หมดเสียว” ล้วนเป็นสิ่งสมมุติทั้งสิ้น


ฉะนั้นที่ทำให้ทุกข์ ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายทำ แต่ทางภรรยากำลังทำร้ายตัวเอง กำลังทำให้ตัวเองต้องทุกข์เพิ่มขึ้นไปอีก ถ้าไปหาหนุ่มที่แข็งแรง แต่ก็บาป


ถึงเวลานี้แล้ว ควรเห็นอกเห็นใจกัน เป็นเพื่อนร่วมทุกข์กันไป ไม่ว่าสามีของเราจะหมดกำลังไปแล้ว อย่าไปยึดเรื่องกามมาเป็นของเรา ถ้ายังหมกมุ่นก็ต้องทุกข์ไม่จบไม่สิ้น


ยึดเรื่องกามมาก ก็ทุกข์มาก ยึดน้อยก็ทุกข์น้อย ไม่ยึดก็ไม่ทุกข์ เลือกเอาว่าจะทุกข์ระดับใด ปล่อยวางไป ก็ไม่ต้องทุกข์
โยมผู้ชายต้องเข้มแข็ง อย่าเครียด ต้องปลง การปลงได้ จะช่วยให้จิตใจสบายขึ้น อย่าไปคิดด้วยความคับแค้นใจ การปลงช่วยผ่อนคลายจิตใจ ต้องตั้งต้นคิดเลยว่า ต่อไปจะทำอย่างไรดี ต้องทำตัวเองให้ดีได้อย่างไร โดยที่ไม่ต้องเอาชีวิต จิตใจไปแขวนไว้กับการกระทำ คำพูด ของภรรยา ที่ถ้ายังท้าทายอยู่ตลอดเวลา


เคารพและให้เกียรติกัน ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ทำหน้าที่พ่อแม่ ทำหน้าที่ผัว ทำหน้าที่เมีย ให้สมบูรณ์ พอกลับเข้าบ้าน ก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ออกนอกบ้าน ก็ทำงานให้ดี เพื่อครอบครัว เพื่อลูกเพื่อภรรยา อย่าไปกังวน ช่วยกันดูแลลูกให้ดี อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ พ่อแม่ต้องปรองดอง ห้ามทะเลาะกัน เพราะเด็กต้องการตัวอย่างที่ดีจากพ่อแม่ ผลัดกันปลอบใจ สามัคคีกันไว้ ชวนกันสนทนาธรรม ด้วยความรักเมตตาเกื้อกูล มี "สัมมาวาจา"


สิ่งสำคัญต้องเตือนผู้หญิง ที่ติดใจในรสชาติกามอารมณ์ เหมือนแมลงวัน ที่ปีกติดอยู่กับกองน้ำผึ้ง ที่ตัวเองกำลังชิมอยู่ รู้ว่าอันตราย อยากถอนตัว บินออกจากกองน้ำผึ้ง หลังจากอิ่มแล้ว แต่ก็ทำได้ยาก


เรื่องนี้ต้องช่วยกัน โยมสามีต้องปรับชีวิต อย่าไปหดหู่ ที่นกเขาไม่ขัน หมั่นพาภรรยาไปออกกำลังกายให้แข็งแรง หางานอดิเรกทำกับภรรยาและลูกสาว เช่น ออกไปวิ่ง ตีแบด ปลูกต้นไม้ วันหยุดชวนไปทำบุญที่วัด รับรองสนุก จนไม่มีเวลาไปคิดถึงเรื่องอย่างว่าอีก


วิธีที่อาตมาบอกโยม เป็นวิธีง่ายๆ ไม่ยาก หันมาปฏิวัติตัวเอง เป็นสามีภรรยายุคใหม่ที่เข้มแข็ง ทำเพื่อตัวเองและเพื่อลูก ขอให้โชคดี…..เจริญพร

วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2556

‘ตีหน้าเศร้า เล่าความเท็จ’ แหย่ให้อยาก แล้วก็จากไป
เงิน - การพนัน- อันตราย ห้ามเข้าใกล้โดยเด็ดขาด!!
คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม

เจริญพรญาติโยมพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สัปดาห์นี้อาตมานำเรื่องสุดฮอตสอง เรื่องมานำเสนอ เป็นเรื่องของเพื่อนที่ชักชวนไปเล่นการพนัน กับ เรื่องให้เพื่อนยืมตังค์ ทั้งสองเรื่องนี้ มีดีกรีร้อนแรง ถึงขั้นจะฆ่าตัวตาย ทั้งสองกรณี!!!

มาเริ่มที่เรื่องแรก... โยมสีกาโทร.เข้ามาระบายความนัย เธอบอกใจไม่ด้านพอ ใจอ่อนไหวไม่เข้มแข็ง พอเพื่อนมาชวนไปเล่นการพนัน โยมก็เลยตามไปเล่นกับเพื่อน สุดท้ายหมดตัว คิดอะไรไม่ออก เลยต้องโทร.มาบอกหลวงพี่น้ำฝน... โยมทำน้ำเสียงโอดครวญลั่น“อยากจะฆ่าตัวตาย”

อาตมาพอได้ฟังสาธยาย เกิดความเวทนา บอกตามตรงไปว่า สงสารบวกสมเพช พร้อมแจงเหตุปัจจัย กล่าวตักเตือนแนะนำสั่งสอนให้พิจารณา ค้นหาความจริงเสียก่อน

อย่าเพิ่งไปเพ่งโทษเพื่อน เพราะเพื่อนไม่ผิด เขาแค่ชวนเรา ซึ่งเราก็ไม่จำเป็นต้องไป!?!“คนเราตบมือข้างเดียวไม่ดัง” โยมไม่มีสิทธิ์ไปโกธรเพื่อน ยิ่งถ้าไปใส่อารมณ์บอกว่า เพื่อนดันเสือกมาชวนไปหมดตัว ถ้าคิดอย่างนี้ถือว่าอันตราย เนื่องเพราะโยมไม่ได้มองที่ตัวตนของเราก่อน ว่ามีสันดานเยี่ยงไร ลืมโทษตัวเอง และต้องถามกลับไปว่า แล้วเราเสือกไปกับเขาทำไม???

อาตมาถือว่า กรณีของโยมเข้าข่าย “รำไม่ดี โทษปี่โทษกลอง” รู้อยู่เต็มอก การพนันไม่เคยทำให้ใครร่ำรวย พวกเซียนพนันเขาเขียนปลอบใจพวกเดียวกัน “รวยไม่ทน จนไม่นาน” นี่ชัดเจน แปลตรงๆก็คือ การพนันมีได้มีเสีย แต่ส่วนใหญ่เสีย

การพนันทำให้โยมตกต่ำ “ไฟไหม้บ้านก็ยังเหลือที่ดิน ถ้าเราไปติดการพนัน ที่ดินก็ไม่เหลือ”

โยมท่านใดที่ยังเล่นอยู่ อาตมาบิณฑบาต ขอให้เลิกซะ เห็นเขาเล่นก็อย่าไปเล่น กับเขา ทุกวันนี้โยมส่วนใหญ่ตกอยู่ในอบายมุข ติดเล่นการพนัน

บางรายคิดแต่เรื่องที่จะถูกหวย คิดแต่เรื่องที่จะเล่นหุ้น ไม่ตั้งอกตั้งใจทำงานด้วยลำแข้งของตัวเอง พากันเห็นผิดเป็นชอบ คนฉลาดมีปัญญาก็มอมเมาคนโง่ ทำให้สังคมตกต่ำด้วยการเล่นพนัน

การพนันเป็นอบายมุขที่ร้ายแรงมากๆ โยมรู้ว่าอันตราย โยมก็ควรเลิกเสีย อย่างเข้าใกล้โดยเด็ดขาด

ส่วนอีกเรื่องกำลังฮอตมากที่สุดในเมืองไทยคือ “เรื่องกู้เงิน” ล่าสุดโทร.เข้ามาเป็นโยมสีกาอีกเช่นกัน ถามปัญหาเดิมๆ เธอบอก.... เพื่อนสนิทขอยืมเงินไปแล้ว ไม่ยอมจ่ายคืน หายจ้อยไปเลย เธอบอกเวลามาขอยืม ก็พยายาม “ตีหน้าเศร้า เล่าความเท็จ” พอได้สมอยากแล้วก็จากไป “หายเข้ากลีบเมฆ”

ทุกวันนี้เศร้าใจสุดๆ อยากฆ่าตัวตาย ไม่รู้จะทำอย่างไรกับชีวิต หลวงพี่ช่วยด้วย... อาตมาบอกได้คำเดียวว่า “โยมโง่มาก ก็เรามันโง่เอง ไปให้เขายืมทำไม เงินอยู่ในกระเป๋าของเราแท้ๆ ใครเป็นคนควักออกไปให้เขา ถ้าไม่ใช่ตัวเรา แล้วจะไปโทษใคร ในเมื่อเราโง่เอง ถ้าเราฉลาดใจเข้มแข็ง ก็อย่าให้เขายืม แต่ถ้าเกรงใจ ผลสุดท้ายก็จะได้รับแต่ความเจ็บปวด รวดร้าวใจ เสียเพื่อนคนหนึ่งไปโดยไม่จำเป็น”

อาตมายกตัวอย่าง สมมุติถ้าเพื่อนโยมมาขอยืมเงินจำนวนหนึ่งหมื่นบาท โยมก็ให้เขาไปเพียงห้าพันบาทพอ เราให้ตามกำลัง แล้วอย่าหวังว่าจะได้คืน ให้แทงเป็นหนี้ศูนย์ไว้เลย คิดว่าช่วยเพื่อนด้วยความจริงใจ ไม่หวังผลตอบแทน

ถ้าทำได้เยี่ยงนี้ ใจก็เป็นสุข ไม่ต้องคิดฆ่าตัวตาย มีเท่าไหร่ก็ให้เท่านั้น อย่าให้เขายืมจนเราหมดเนื้อหมดตัว ต้องมาเดือดร้อน ทุกข์ระทมใจ

ตราบใดที่เรายังไม่ตาย ยังมีอาชีพ มีรายได้ โยมต้องใช้สติ อย่าไปคิดฆ่าตัวตายเด็ดขาด จงจำไว้!!!

ยกตัวอย่าง เรื่องของอาตมา มีโยมโทร.เข้ามาปรึกษาหารือ ถามได้ทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องเงิน อาตมาไม่รับปรึกษาเรื่องเงิน เพราะอาตมาเอง ทุกวันนี้ก็ยังเอาตัวไม่รอด เรื่องเงินเรื่องทองอาตมาเข้าใจดี อาตมาเคยมีประสบการณ์มาก่อน เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อน อาตมาถือเป็นรุ่นพี่ของโยม

“เวลาเข้ามาหา แทบจะคลานเข้ามา ป้อนคำหวาน คำชม พกพาน้ำตาลมาฝากเต็มกระบุง ออดอ้อนหว่านล้อม เล่ห์เหลี่ยมครบถ้วนกระบวนความ”

พวกที่เข้ามาขอยืมเงิน มักจะเล่าเรื่องได้สุดแสนเศร้า ฟังแล้วน้ำตาจะไหล เล่าถึงพ่อแม่ลูกเมียผัว เล่าได้อย่างน่าฟัง จับใจสุดๆ บางคนใจอ่อน เคลิบเคลิ้ม ต้องรีบให้ยืมเงินทันที

สำหรับเรื่องนี้ อาตมาแนะนำให้โกหกบ้าง บอกเขาไปเลยว่าไม่มี ทั้งที่เรามี แต่เป็นการพูดปดที่ไม่ผิด อย่าไปคิดว่ามุสาแล้วจะผิดศีลเสมอไป เพราะถ้าไม่ยอมทำผิดศีล เราก็เสียเงินฟรี บางทีการเคร่งครัดในศีลมากเกินไปก็ทำให้เราทุกข์ใจได้เช่นกัน ยิ่งถ้าไปยึดแบบไม่มีเหตุผล อย่างนี้เขาเรียกจำเป็นต้องโกหก เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาทีหลัง



เหมือนในสุภาษิตที่ว่า “มีเงิน มีทอง เขาก็นับว่าน้องว่าพี่ แต่เวลาที่ไม่มี แม้นแต่หมา ยังเมิน เดินหนีจากไป”

...เอ็นดูเขา เอ็นเราจะขาด...อาตมาเจอมาแล้วกับตัว...เพราะมัวไปเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐาน....เราผ่านความจนมาก่อน หากไม่ให้โอกาสคน ที่เขากำลังจะจมน้ำ...แล้วเมื่อไรเขาจะได้เกิดสักที ก็เพราะคิดแนววิธีนี้....เวลามันมีก็ไม่ให้เรา แถมยังเอาเราไปว่า อ้ายบ้า เสือกโง่ เอามาให้กูเอง...เป็นซะอย่างนี้ สุดท้ายก็ชีช้ำกะหล่ำปี...นี่บางรายก็ยังลอยหน้าลอยตา...เหมือนราวกับว่า เราเป็นหนี้มันแทน...เพราะแทนที่มันจะหลบหน้า เรากลับไม่กล้าจะอยู่สู้หน้ามัน...นั่นเป็นเพราะ ใจไม่ด้านพอ....

กว่าโยมจะสำนึกได้ ก็หมดไปหลายล้าน ประสบการณ์สอนคน เวลามีใครมาขอยืมเงิน ก็ทนให้มันด่าเราได้เพียงครั้งเดียวพอ ต้องทำใจไม่ให้ จะได้ไม่ต้องมาเจ็บปวดภายหลัง เพื่อนพี่น้องจะชิงชัง ยังดีกว่า ให้มันมาซ้ำเติม จริงมั้ยญาติโยมทั้งหลาย...ขอกันกินยังมากกว่านี้...แต่เป็นหนี้แล้วไม่ยอมให้นี่ซิ...สุดยอดที่สุดแล้ว??

สรุปสุดท้ายคุณโยมควร -"ใช้ใจมองคน"- แล้วคุณโยมจะรู้ว่า คนๆนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่คุณโยมเห็น ต้องรู้จักอโหสิกรรมให้ได้ จะสบายใจขึ้น แล้วชีวิตโยมก็จะไม่แย่ลง ถือว่าชดใช้เวรกันไป

ถ้าอยากให้ใจสบาย ไม่ต้องมาคิดฆ่าตัวตาย ก็อย่าเอาเรื่องเก่ามารื้อฟื้น ไปไหนมาไหนปากอย่าไว ใจอย่าเบา

เรื่องของคนอื่นอย่านำมาคิดให้เปลืองสมอง ทำหน้าที่ปัจจุบันของเราให้ดีที่สุด ส่วนอนาคตก็อย่าไปจับให้มั่นคั้นให้ตาย หรือจริงจังให้มากจนเกินไป เพราะจะผิดหวัง และเสียใจไปตลอดชีวิต ฝากไว้เป็นแง่คิดเฉกเช่นนี้....ขอเจริญพร

หนูอยากจะทำแท้ง ทำอย่างไรดี !?!
‘ถ้าพ่อแม่เราทำแท้ง จะมีเราวันนี้มั้ย’
คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม

เจริญพรญาติโยมพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สัปดาห์นี้อาตมาได้รับโทรศัพท์จากโยมสีกาท่านหนึ่ง เธอร้องห่มร้องไห้ปริ่มแทบจะขาดใจ บอก “หนูอยากจะไปทำแท้ง”

คำคิดนี้แสลงใจอาตมามาก มันสะท้อนความต่ำทรามของสังคมไทย ที่ใครๆก็เมินหน้าหนี แล้วปัญหานี้ ใครล่ะจะช่วยเด็กสาวคนนี้ ให้หลุดพ้นจากนรกอเวจีนี้ได้...ถ้ามิใช่แสงสว่างทางคำแนะ จากพระสงฆ์ เฉกเช่นอาตมา!!!

และที่สำคัญ อาตมาเคยตอบปัญหาเรื่องทำแท้ง ในการไปธรรมะเชิงรุกตามสถาบันการศึกษาต่างๆ แล้วก็พูดเรื่องนี้ในรายการโทรทัศน์ไปแล้วหลายครั้งหลายครา

แต่สำหรับกรณีที่โยมกำลังจะตัดสินใจไปทำแท้ง รายนี้ ถือเป็นรายแรกของอาตมา ที่จะได้ปุจฉา ให้กระจ่างถ่องแท้ ในการแก้ปัญหาอย่างถูกต้อง ตามทำนองครองธรรม
ฉะนั้นอาตมา จึงตัดสินใจนำเรื่องนี้ มาลงตีพิมพ์ก่อนเป็นวาระเร่งด่วน เนื่องจากการตัดสินใจจะไปทำแท้ง ถ้าได้รับคำสอนชี้แนะที่ดีมีเหตุผล ย่อมเกิดประโยชน์มหาศาลต่อหลายๆชีวิตที่คิดจะไปทำแท้ง

ต้องยอมรับว่าเรื่องนี้มีความสำคัญมาก และเป็นอีกหนึ่งความภูมิใจของอาตมา ที่สามารถช่วยไม่ให้คนคิดผิด.....ทำพลาด.....เพราะเพียงเสี้ยววินาที ถ้าได้รับคำปรึกษาที่ดี รับรองว่าโยมไม่ไปทำแท้งอย่างแน่นอน!!!

จากนั้นอาตมาได้จุดไฟในใจโยม ให้แสงสว่างอย่างชัดเจนไปว่า.... “ถ้าโยมคิดจะไปทำแท้งจริงๆ โยมควรคิดให้ดีเสียก่อนจะตัดสินใจ ให้คิดกลับไปว่า ที่โยมมีชีวิตอยู่ได้ทุกวันนี้ เพราะใคร ถ้าไม่ใช่แม่ของเรา ที่ทำให้เราได้เกิดขึ้นมาเป็นผู้เป็นคนในวันนี้”

และถ้าวันนั้น แม่ตัดสินใจไปทำแท้ง แล้วจะมีเราเกิดขึ้นมาได้หรือไม่ในวันนี้!?! ชีวิตเลือดเนื้อที่หายไป บาปบุญคุณโทษ ที่ตรึงในหัวใจ ให้ต้องเจ็บปวดตลอดชีวิต

อาตมาให้หลักคิดของการดำเนินชีวิต โยมต้องถามตนเองก่อน สาเหตุอะไร ทำไมต้องคิดจะไปทำแท้ง แต่อาตมาจะสรุปสาเหตุพื้นฐานของการคิดจะไปทำแท้ง เด่นๆเลยเริ่มจาก.....

ประเด็นแรก เกิดจาก “ผู้ชายทิ้ง” แล้วไปมีกิ๊กใหม่ ในความจริงแรกๆก็หอมหวาน พอได้แล้ว อารมณ์เปลี่ยน สมอยากตามที่ใจต้องการ สันดานเก่าสำแดงเดช ธาตุแท้ของความเห็นตัว ต้องการเพียงสนองตัณหาราคะ เพียงครู่ยาม นี่คืออีกหนึ่งจุดเปลี่ยน ที่ผู้ชายหลายๆคน ทิ้งแฟนสาว ตัดสินใจหนีไปหาคนใหม่ เป็นการหนีปัญหา ทิ้งภาระให้อีกฝ่ายต้องรับเวรกรรม

ประเด็นที่ 2 เกิดจากการที่ “ผู้ชายไม่ดูแล” ไม่สนใจใยดี วิถีของผู้ชายส่วนใหญ่ ไม่ชอบที่จะรับผิดชอบใคร อ้างความไม่พร้อม แต่เวลาจะมีเพศสัมพันธ์ก็โหยหา ตบปากรับคำสารพัด แต่พอเอาเข้าจริง ทำไม่ได้สักอย่าง ตามที่คุยไว้ กมลสันดานฝังแน่นไว้ด้วยพฤติกรรม กะล่อน ปลิ้นปล้อน หลอกลวง คือเอกลักษณ์ของผู้ชายเลว

ประเด็นสุดท้าย เกิดจากพอรู้ว่า “ฝ่ายหญิงตั้งท้องแล้ว” เรื่องต่างๆก็จะตามมา การพูดคุยเริ่มยากขึ้น ไม่เหมือนตอนอ้อนขอมีเพศสัมพันธ์ อาการเปลี่ยน สีหน้า อารมณ์หงุดหงิด คำพูดคำจา เริ่มหยาบคาย โกธรง่ายขึ้นเสียงดัง ยืนยันไม่ต้องการลูก ไม่อยากมีภาระ ชักแม่น้ำทั้ง 5 มาสาธยายให้ไปทำแท้ง

ทั้ง 3 ประเด็นนี้ คือสาเหตุของการที่ผู้หญิงต้องไปทำแท้ง ในฐานะที่อาตมาเป็นผู้ชาย ค่อนข้างเข้าใจนิสัยผู้ชายด้วยกันดี โยมต้องแยกผู้ชายไว้ 2 ประเภท ระหว่างผู้ชายดี กับ ผู้ชายเลว

ผู้ชายดี กล่าวคือ ถ้าเขามีอะไรกับแฟนสาวแล้ว เขาจะมีสปิริต แสดงตัวแสดงตนในความเป็นพ่อของเด็กอย่างชัดเจน เนื่องเพราะเลือดเนื้อหัวใจของความสำนึกในความเป็นพ่อคน มันผุดขึ้นโดยอัตโนมัติ และสำนึกคุณธรรม ที่มีความเป็นธรรมชาติสูงมาก พอถึงจุดนี้ ความรับผิดชอบในหน้าที่พ่อ หน้าที่สามี มันล้ำหน้ามาก่อนเลย!!!

ส่วนผู้ชายที่ไม่ดี ก็คือ เลว พวกนี้จะอาการแรกคือเสียงใจแข็งใจดำทันที “กูยืนยันไม่รับผิดชอบลูกเดียว” ไม่สนแม้เทวดาฟ้าดินจะมาขอร้อง หรือจะพาใครที่ใหญ่ขนาดไหนในชีวิตมาอ้อนวอนให้ตาย มันก็ไม่สน เพราะคนมันไม่แคร์ ไม่สำเหนียก และเมื่อผู้หญิงพอเจอผู้ชายประเภทนี้ ยิ่งรีบตัดสินใจไปทำแท้ง เพราะความแค้นเป็นชนวนไฟสุม ให้ใจมืดบอด ทำเพราะประชดประชัด เครียดเกลียดชิงชังในความเลือดเย็นของผู้ชายที่ตนรัก นี่ขนาดยอมพลีกาย แต่ไม่เคยคิดเลยว่า มันคือนรกทั้งเป็น!!!

การที่ผู้หญิงตัดสินใจจะไปทำแท้ง อีกประการหนึ่ง เกิดจากความกลัว กลัวพ่อแม่รู้ และไม่กล้าปรึกษาใคร

เรื่องกลัวพ่อแม่รู้ ลูกผู้หญิงส่วนใหญ่ เมื่อรู้ว่าตนตั้งท้อง แล้วปรากฏว่าฝ่ายชายไม่ยอมรับ สิ่งที่ตามมาก็คือความหวาดกลัว ด้วยห้วงของวัยที่ยังเด็ก กำลังยังเรียนหนังสืออยู่ ที่สำคัญยังรับผิดชอบตนเองไม่ได้ สิ่งที่กลัวมากที่สุดก็คือ “กลัวพ่อแม่รู้ แล้วรับไม่ได้” เพราะต้องเสียหน้า ประทุอารมณ์ด่าทอ แล้วต่อยอดไปถึงความอายเพื่อนบ้าน ความกลัวดังกล่าวนี้ เป็นแรงผลักที่มีอิทธิพลสูงมากเช่นกัน!!!

ส่วนปัญหาอีกข้อที่ตามมาติดๆ เป็นชนวนสำคัญ ที่ทำให้ตัดสินใจจะไปทำแท้ง ก็คือ อาการอาย ไม่กล้าปรึกษาใคร ทำใจไม่ได้ที่จะเล่าความจริงให้คนอื่นรู้ กลัวถูกประณามหยามหมิ่น กลัวโดนดูถูกเหยียดหยาม ก็เลยพาลไม่กล้าไปขอคำคิดเห็นชี้แนะจากใครทั้งสิ้น มันมืดมนแปดด้าน

เรื่องราวทั้งหมดที่อาตมาชักแม่น้ำทั้ง 5 มาประกอบมุมคิด ณ ห้วงเวลานี้ มันเป็นสิ่งที่แก้ไขได้ สำคัญที่คนสอน และคนฟัง สามารถจูนเข้าหากันได้หรือไม่

ฉะนั้นการเตือนสติที่กระตุ้นไปที่พ่อแม่ ถ้าวันนั้นแม่ตัดสินใจไปทำแท้ง ไม่มีเราแน่นอนในวันนี้ วันดีๆยังรออยู่ข้างหน้า อนาคตที่สดใสทั้งพ่อแม่ลูก ยังหอมหวานอบอวล ทุกปัญหาแก้ไขได้ ด้วยสติ หนูจงจำไว้ “โลกมีไว้เหยียบ ไม่ได้มีไว้แบก”

และถ้าถามอาตมาว่าทำแท้งบาปมั้ย Before(บีฟอร์) ถ้าก่อนทำ แล้วจะตัดสินใจไปทำ “บาปแน่นอน” นรกทั้งเป็น!!!

แต่ถ้าถามอาตมาว่าหนูไปทำแท้งมาแล้ว After(อาฟเตอร์) บาปมั้ย อาตมาตอบ ว่า “ไม่บาป” เพราะอะไร?? ก็ในเมื่อมันผ่านไปแล้ว ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ โยมจะทุกข์ทำไม ก็มันทำไปแล้ว และจะมาคิดมากให้เปลืองสมองทำไม ในเมื่อชีวิตต้องดำเนินต่อไป อย่าทำให้มันมีตราบาป ในหัวใจ ทำเศร้าทำทุกข์เพื่ออะไร? ไม่มีประโยชน์ บั่นทอนสุขภาพจิตเปล่าๆ....

เราต้องฝึกสร้างทุนให้ชีวิต ด้วยจิตที่ไม่ขุ่นมัว ควรลงมือตัดสินใจทำสิ่งที่ถูกต้อง จงรู้จักที่จะมีปัจจุบันขณะที่รู้เท่าทัน อย่ามืดบอด อย่ากังวลว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร อย่ากลัว อย่าลังเลที่จะทำความดี “เมื่อคิดที่จะมีลูก”



ฉบับหน้าอย่ากระพริบตา อาตมาจะเขียนเรื่องเมื่อไปทำแท้งแล้ว ทำไมถึงไม่บาป อย่าพลาดโดยเด็ดขาด และสาเหตุที่ไม่บาปนั้น คืออะไร อาตมาจะแจกแจงถึงเหตุและผลให้ทราบโดยทั่วกัน ห้ามพลาดโดยเด็ดขาด สำหรับสัปดาห์นี้...ขอเจริญพร

วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2556

บาปหรือไม่!? ที่ตัดสินใจไปทำแท้ง 
โยมละแวง ‘หลอนทารกเฝ้าติดตาม’
คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม

เจริญพรญาติโยมพุทธศาสนิกชนทุกท่าน ตามที่สัปดาห์ที่แล้ว ได้ทิ้งท้ายไว้ว่าจะนำเรื่องของคุณโยมที่ไปทำแท้งมาแล้ว และถามว่าบาปหรือไม่

ฉะนั้นฉบับนี้ อาตมาจะได้เล่าเรื่องราวสาระ จากเหตุการณ์คำถามจริงๆ ซึ่งเป็นเรื่อง ของโยมสีกาจากประเทศจีน เธอเล่าว่า... เคยไปทำแท้งมาแล้ว 4 ครั้ง รู้สึกกังวนใจ จนกลายเป็นความหวาดกลัว บางครั้งเหมือนคนวิตกจริต คิดไปต่างๆนานา บางทีก็มีความรู้สึกเหมือนมีเด็กทารก มาเฝ้าติดตามหลอกหลอนตลอดเวลา

ทุกวันนี้โยมมีความทุกข์ใจมาก ถามอาตมา มีวิธีไหนแก้ไขให้คลายทุกข์ลงได้บ้าง อาตมาก็เลยให้แสงสว่างไปว่า....ก่อนอื่นโยมต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า อะไรคือต้นเหตุ ที่ต้องไปทำแท้ง อาตมาเชื่อว่าโยมมีเหตุผลเพียงพอ

และที่สำคัญโยมรู้อยู่แล้ว กฎหมายบ้านโยม ห้ามมีลูกเกิน 1 คน ฉะนั้นเมื่อพลาดพลั้ง โยมก็ต้องไปทำแท้ง

กล่าวสำหรับประเด็นแรกที่ต้องแก้ไข คือ มนุษย์เราเมื่อทำสิ่งใดพลาดไปแล้ว ไม่ควรทำพลาดอีก อย่าทำผิดซ้ำซากอีก โยมต้องอยู่กับความจริง อยู่กับลมหายใจที่เหลืออยู่ ควรคิดถึงคนในครอบครัว คนที่เรารัก คนที่เราต้องรับผิดชอบ

จงจำไว้ ชีวิตต้องดำเนินต่อไป การคิดมาก ความทุกข์ใจ ความกังวนใจ คืออุปสรรคในการก้าวไปข้างหน้า อนาคตของคุณโยมยังไปอีกยาวไกล หมั่นทำความดี ขยัน ซื่อสัตย์ อดทน รู้บุญคุณคน ทั้งหมดนี้คือ ความกตัญญูกตเวที อันถือเป็นเครื่องหมายของคนดีอย่างแท้จริง

สิ่งที่พลาดพลั้งไปแล้ว คือ บทเรียนราคาแพง ที่ควรนำมาสอนตนให้เกิด “ศีล สมาธิ ปัญญา”

การดำเนินชีวิตทุกลมหายใจเข้าออก ต้องมีสติ รู้เท่าทัน รู้จักการระวัง ป้องกัน “กาย วาจา ใจ”

มีความละอายใจ เกรงกลัว “บาป บุญ คุณ โทษ” และต้องไม่ประมาท เรียนรู้ความพลาด แล้วจุดประกายสร้างเป็นพลัง ประคองชีวิต “เดินสายกลาง” ไม่เอียงไปด้านใดด้านหนึ่งให้มากจนเกินเหตุปัจจัย

พลิกชนวนต้นเหตุที่ทำพลาด ฟื้นเป็นโอกาส เพื่อสร้างสรรค์ชีวิตใหม่ๆ ยกตัวอย่าง ญาติโยมหลายท่าน เมื่อสมัยวัยรุ่น จิตฟุ้งซ่านคึกคะนองคิดว่า เรานี่ซ่ามากเลย ลองผิดลองถูกมาเยอะเหมือนกัน ที่ผ่านมาญาติโยมหลายท่าน ก็เคยผิดพลาดบ่อย แต่พอถึงจุดสุดท้าย ก็คิดได้เอง โดยการให้โอกาสตัวเอง ลุกขึ้นมาสู้ใหม่ ไม่ใช่พอทำอะไรผิดพลาดแล้ว ก็พยายามซ้ำเติมตัวเองอยู่อย่างนั้นร่ำไป หลักยึดแบบนี้มันเป็นวิธีการที่ผิดพลาดอย่างมหันต์

ส่วนเรื่องที่ว่า มีภาพหลอน จินตนากาลเห็นเด็กมาเฝ้าติดตามตลอดเวลานั้น ลักษณะนี้เป็นการย้ำคิด ย้ำจำ ทำให้กังวน ระคนคิดให้เห็นเป็นภาพลวงหลอกตนเอง สรุปก็คือ “ฟุ้งซ่าน”

สิ่งที่เราคิดเอง กลายเป็นภาพหลอน พยายามคิดให้เป็นจริง เพราะความกลัว เป็นตัวสร้างให้เห็นมโนภาพ ประเด็นนี้แก้ได้ไม่ยาก ทำงานให้เยอะขึ้น งานอะไรที่ยังทำค้างไว้ นำมาสานต่อ ทำให้หมด ทั้งงานยาก งานง่าย งานในอดีตที่ยังไม่จบ งานปัจจุบันประจำวัน งานอนาคตที่ต้องทำ เอามาทำเสียให้ครบถ้วนกระบวนความ

“นี่คือวิธีทำให้ลืม แถมได้งาน เกิดประโยชน์มากมาย ได้สาระ ชีวิตมีค่ามีคุณ ขึ้นมาในทันที”

ฉะนั้นญาติโยมท่านใดที่ชีวิตตรงประเด็นนี้ เริ่มทำได้เลย.... ปฐมบทต้องเริ่มจากการลืม คิดใหม่ ทำใหม่ หากิจกรรมดีๆ ทำให้เพลิน สนุกกับงาน อ่านหนังสือ สวดมนต์ ปลูกต้นไม้ ทำกิจกรรมในเชิงสัมผัส “แล้วก็จะยิ้มได้”

อย่ากังวลกับเรื่องเวรกรรม บาปบุญ เพราะมันจะขวางทาง ที่โยมทั้งหลายจะเดินไปสู่ความสงบ และหลักธรรมที่แท้จริง

จริงอยู่ “กรรม”ไม่สามารถลบล้างกันได้ แต่ถ้า “คิดดี ทำดี” ก็บรรเทาสิ่งพวกนี้ในเชิงช่วยได้เช่นกัน

ดังนั้นถ้าคิดมาก ทำให้จิตใจไม่แจ่มใส เกิดการวิตกหดหู่ แล้วชีวิตจะอยู่ได้อย่างไร เมื่อจิตใจหม่นหมอง ความคิดพวกนี้ เป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์อย่างแน่นอน

“เรื่องบาปบุญ เมื่อครั้งพุทธกาล ในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านอาพาธ ท่านก็ไม่ได้ใช้พรวิเศษใดๆรักษา หรือสวดบทอะไรรักษาเลย ท่านก็รักษาไปตามสภาพ ทานยาเหมือนพวกๆเรานี่แหละ”

ฉะนั้นถ้าเราคิดดีทำดีทำถูกต้อง ก็ไม่ต้องไปวิตกวิจารณ์เรื่องพวกนี้ให้มากจนเกินไป ถือว่าเราเดินมาถูกทางแล้ว สมองและจิตใจจะได้แจ่มใส เรื่องบางอย่างไม่ต้องไปคิดรับรู้มากเรื่องมากความ นิ่งๆเสียบ้างก็ดี สบายหัวดีออก

ส่วนกรณีการทำแท้งไปแล้ว ถ้าโยมอยากทำคุณไถ่โทษกับการทำแท้ง ง่ายๆนิดเดียว ทำใจให้เบิกบาน ได้อย่างคนดีๆคนหนึ่ง ฝังความมืดไว้กับอดีต ไม่นำความมืดติดตัวมาบดบังวันนี้ให้หมองหม่น เปล่าประโยชน์

และถ้าอยากจะทำบุญจริงๆ บุญที่ทำนั้น ขอให้ครบวงจรจะดีที่สุด ทั้งการให้ทานและการรักษาศีล

ในส่วนของการให้ทาน ก็ทำไปตามอัตภาพ “การให้ การแจก การบริจาค” ล้วนเกิดคุณธรรมความจริงทั้งสิ้น ช่วยเหลือเจือจานผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก “อนาถอนาถา” ให้เขาได้ลืมตาอ้าปาก ย่อมสุขใจทั้งผู้ให้และผู้รับ

ในส่วนของการรักษาศีล ให้เน้นการถือศีลข้อแรกให้บริสุทธิ์ คือตั้งใจว่าต่อไปเราจะไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอย่างเด็ดขาด และต้องไม่ลืมการรักษาศีลห้า ที่ฆราวาสต้องไม่พลาดหรือปล่อยปละละเลย

และให้คิดเสมอในหลักความจริง อาตมาเชื่อว่าคุณโยมทุกคนที่ไปทำแท้ง ล้วนมีเหตุผล เฉกเช่น ประเด็นแรกคือ เจตนาตั้งใจเพราะไม่ต้องการให้เขาเกิด ประเด็นต่อมา ทำแท้งโดยเหตุจำเป็น เนื่องจากผลต่อสุขภาพทั้งแม่และเด็ก

เมื่อได้กระทำเสร็จสมบูรณ์แล้ว ย่อมได้รับความไม่สบายใจ ติดตามมาทั้งสองกรณี ในส่วนตัวของเรา ต้องทำให้มันเบา ทำใจของเราให้ว่าง สงบ เย็น

เริ่มชีวิตใหม่ในหน้าที่การงาน สร้างบุญสร้างกุศล สร้างความดีในพุทธศาสนา เน้นการมีจิตที่สูงขึ้น สะอาดและบริสุทธิ์มากขึ้น จิตย่อมไม่เสื่อม ยิ่งบำรุง ยิ่งงอกงาม

อยู่กับปัจจุบันอารมณ์ คือขณะจิตปัจจุบัน อย่าได้กังวลกับอดีตที่ผ่านมาแล้ว และอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

สิ่งใดที่ "คิดว่า พลาดไปแล้ว" ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ ถ้าไม่สบายใจก็อย่ากลับไปทำสิ่งนั้นอีก ก็เท่านั้นเอง

คุณโยมส่วนใหญ่ที่ทำผิดพลาด มักฟันธงคิดว่าทุกข์ที่มีอยู่ทุกวันนี้ จะอยู่กับคุณโยมไปตลอดนั้น ไม่ใช่หรอก เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใบนี้ ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน

วันนี้สุขมากมาย พรุ่งนี้อาจจะทุกข์เสียเหลือเกิน หรือวันนี้คุณโยมทุกข์ทรมานเหมือนจะตายให้ได้ แต่ใครจะรู้ว่าพรุ่งนี้คุณโยมอาจจะมีความสุขสุดหัวใจ ก็เป็นได้เช่นกัน
ขอให้คิดว่า “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” ...ขอเจริญพร

วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ต่างคนต่างมี หญิง54 ปิ๊งรักแท้ ชาย58 
โยมสงสัย ผิดมั้ยที่คลั่งไคล้ผู้ชายคนนี้
คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม

เจริญพรญาติโยมพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สัปดาห์นี้อาตมา ต้องขออนุญาตนำต้นฉบับเรื่องนี้มาลงตีพิมพ์ “แซงคิวก่อน” เพราะเป็นเรื่องเร่งด่วน ที่อาตมาพิจารณาแล้ว คิดว่าน่าจะมีความสำคัญอย่างมากต่อชีวิตผู้คนในสังคมยุคปัจจุบันวันนี้ และยังเชื่ออีกว่า หลายๆครอบครัวกำลังเผชิญ กับปัญหานี้อยู่หลายคู่ครอง หลายบ้านเรือน อย่างแน่นอน

มาเข้าเรื่องกันเลย.... โยมสีกาที่โทร.เข้ามาสายนี้ เป็นสุภาพสตรี ปัจจุบันอายุ 54 ปี เป็นชาวสองแคว เมืองพิษณุโลกโดยกำเนิด เคยมีสามีมาแล้ว มีบุตร 1 คน กับสามีคนแรก จากนั้นก็เลิกรา มามีสามีคนที่ 2 แต่ไม่ได้มีบุตรด้วยกัน ท้ายสุดก็เลิกราไปอีกราย

วันเวลาผันเปลี่ยน โยมหันเหชีวิตข้ามน้ำข้ามทะเลบินลัดฟ้าไปทำงานดูแลผู้ป่วย ที่ประเทศเยอรมนี การดำเนินชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศ โยมบอกสุขสบายดี เพราะการทำงานด้านนี้ ถือเป็นการอุทิศตนเสียสละดูแลผู้ที่กำลังมีความทุกข์เพราะความเจ็บไข้ได้ป่วย

เมื่อการงานดำเนินไปได้ด้วยดี ก็เริ่มพบรักกับหนุ่มใหญ่ชาวเยอรมนี “มีใจให้กัน” ตกลงปลงกายร่วมหอลงโลง แต่งงานอยู่กินฉันสามีภรรยา มีพยานรักมีบุตร 1 คน ชีวิตสุขสบายตามอัตภาพ แต่การอยู่ต่างประเทศนานๆ ย่อมเกิดความเหงา เพราะไม่ใช่บ้านของเรา เวลาทำงานก็ลืมได้ชั่วขณะ พอจิตหยุดนิ่ง ก็นิมิตถึงคนคุ้นเคย โดยเฉพาะเพื่อนพ้องน้องพี่ พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย….

“นานทีปีหนคนเราไปอยู่เมืองนอกเมืองนา ย่อมคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอน ย่อมอยากกลับมาเยี่ยมญาติพี่น้อง”

ล่าสุดโยมตัดสินใจกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดเมืองสองแคว ที่ประเทศไทย พักผ่อนยาวนานหลายเดือน ส่วนสามีชาวเยอรมนีไม่ได้มาด้วย ต้องทำงาน เพราะลาไม่ได้ โยมจึงจำเป็นต้องมาคนเดียว แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะถึงอย่างไรเมืองไทยพิษณุโลก “โยมคุ้นชิน” มีญาติพี่น้องอยู่ทั่วเมือง!!!

วันเวลาผ่านไป ปรากฏว่า โยมได้มีโอกาสพบกับหนุ่มใหญ่วัย 58 ปี อาชีพการงานดี รับราชการตำรวจ เป็นถึงท่านสารวัตร แต่เขาก็มีภรรยาและลูกอยู่แล้วเช่นกัน

“โยมยอมรับกับอาตมา เมื่อแรกเห็นหน้า พบปะ พูดคุยสัมผัสแล้ว นับเป็นความรู้สึกใหม่ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิต”.... อาตมาเปรียบปัจจุบันขณะของโยมเวลานี้ เหมือนสิ่งที่มากระทบน้ำ ทำให้เกิดคลื่นฉันใด สิ่งที่มากระทบใจ ก็ทำให้เกิดทุกข์ฉันนั้น

บ่อยครั้งที่โยมหันมานั่งทบทวน ถามตัวเองว่า เราผิดหรือไม่ ที่จู่ๆก็มาปิ๊งผู้ชายคนนี้ ทั้งที่ยังสับสน กระวนกระวายใจ คิดไม่ออกบอกใครไม่ได้ ไม่รู้จะถามใครดีว่านี่ใช่รักแท้หรือไม่!?!

พอได้สตินึกขึ้นได้ ที่ผ่านมา ถึงแม้จะอยู่เยอรมนี แต่ก็ยังเป็นแฟนประจำมติชนสุดสัปดาห์ เคยอ่านคอลัมน์จุดไฟในใจคน ของหลวงพี่น้ำฝน เป็นประจำ คอลัมน์นี้น่าจะช่วยไขข้อกังวนใจได้.....

ไหนๆก็เกิดเหตุการณ์เฉกเช่นนี้กับเราแล้ว จะช้าอยู่ใย ทำไมไม่โทร.ถามท่าน โยมจึงตัดสินใจโทร.ปรึกษาหลวงพี่น้ำฝนในทันที....

....อาตมาเมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดที่โยมเล่ามาแล้วอย่างกระจ่าง รู้สึกเห็นใจและเข้าใจในความรู้สึกของโยมในขณะนี้เป็นอย่างยิ่ง

หัวอกลูกผู้หญิง ย่อมคิดหน้าคิดหลัง และรอบคอบในความรักเสมอ โยมถามว่า ที่ทำไปเช่นนี้ผิดหรือไม่....

อาตมาขอตอบ....ถ้าคิดในแง่ศีลธรรม โยมทำผิดศีลข้อ 3 แน่นอน ฟังนะ.... กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ คือ เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม หมายถึงการร่วมประเวณีในบุรุษและสตรีที่ไม่ใช่สามี ภรรยาคู่ครองของตนเอง

แต่ถ้าพลิกมุมมอง ในเหลี่ยมมุมของสังคมโลก โดยเฉพาะในสังคมยุคปัจจุบันวันนี้ ส่วนใหญ่แล้ว มักมีปัญหาเรื่องนี้มาก ไม่เว้นแม้แต่ลูกศิษย์ของอาตมาหลายๆคน ก็เข้าไปสู่วงจรเหตุการณ์เช่นนี้

สำหรับกรณีของโยม อาตมาให้สติไว้ 2 มุมคิด มุมที่ 1 ถ้ามองในเรื่องของศาสนาพุทธ เจาะเข้าไปถึงเรื่องบาปบุญคุณโทษ ก็ต้องถือว่าโยมได้ทำผิดกฎ ที่ห้ามไว้ชัดเจน อย่างชนิดหลีกเลี่ยงไม่ได้ชัวร์!?!

ส่วนมุมที่ 2 อาตมาอยากให้โยมมองในสังคมโลก ที่ยุคสมัยมันแปรเปลี่ยน คนเปลี่ยน สิ่งแวดล้อมเปลี่ยน สถานะยุคปัจจุบัน มันมีการผันแปรพลิกผันตามเหตุปัจจัยที่เอื้ออำนวยให้ต้องปฏิบัติ... เมื่อเหตุการณ์มันเกิดขึ้นแล้ว โยมจะแก้ไขอย่างไร???

อาตมาให้ความสำคัญที่ใจเป็นหลักใหญ่ ถามว่าสุขหรือไม่ ที่โยมได้รักเขา ถ้าอยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข ก็ไม่แปลกที่จะรัก

และขอถามอีกว่า โยมปรารถนาดีต่อกันหรือไม่ ถ้าให้ความรักและมอบความรักด้วยความบริสุทธิ์ใจ ให้ความเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง

“ปรึกษาหารือดูแลซึ่งกันและกันฉันกัลยาณมิตร ก็ในเมื่อจิตคิดดี กายปฏิบัติดี ทุกอย่างก็จบ ลงตัวตามครรลอง ใครก็ว่าไม่ได้อย่างแน่นอน”

ถามหัวใจเสียก่อน ว่าเป็นความสุขที่แท้จริงหรือไม่ เป็นรูปธรรมที่สามารถสัมผัสได้ ทั้งทางกาย วาจา ใจ หรือไม่

ถ้าดีแล้วไซร์ ก็ทำไป แต่อย่าให้ใครเดือดร้อน ต้องตั้งอยู่ในเหตุและผลแห่งคุณงามความดีเป็นสำคัญ

แต่ต้องอย่าลืมว่า ต้องอย่าให้ครอบครัวแตกร้าว ก็ในเมื่อศีลข้อ 3 เขาห้าม เขาเตือนไว้แล้ว รู้ว่าบาป แล้วเชื่อกันมั้ยล่ะทุกวันนี้ ก็ไม่มีใครเชื่อ ไม่กลัวบาป ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็ต้องปรับเปลี่ยน แนวคิดใหม่ แม้แต่แนวทางการสอน ก็ยังต้องปรับแต่งให้ทันสมัย

ในเมื่อมันผ่านเหตุการณ์นี้ไปแล้ว ก็ควรรังสรรค์ให้มันดี ดำเนินชีวิตตนเองและครอบครัวไปให้ได้ อย่าให้เดือดร้อน ทำให้ดีที่สุด

ในฐานะที่ตัวของโยมเอง เป็นผู้กำหนดเองทุกเรื่อง สร้างเอง ก่อเอง ก็ต้องประคองให้ดี “เหมือนการที่เราอยู่บนเรือ จะพายอย่างไรให้ถึงฝั่ง จะทำอย่างไรไม่ให้เรือล่มเรือจ่ม เวลาที่เรือรั่วจะอุดอย่างไรไม่ให้น้ำเข้า จะวิดน้ำที่เข้าเรือออกอย่างไรให้ทันการณ์” เพราะนี่คือการประคับประคองชีวิต ที่ต้องดำเนินต่อไป

“ในเมื่อลมหายใจยังมีอยู่ ครอบครัวสำคัญทั้งคู่ สำคัญทั้งหมดทุกฝ่าย”

ยกตัวอย่างเหมือนร่างกาย ย่อมขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ได้ เจ้าของร่างต้องถนอม ออมชอมเอาไว้ ด้วยหัวใจแห่งความเมตตา เสียสละ ให้อภัย

เมื่อถึงเวลามันก็ผ่านไปได้อย่างแน่นอน อาตมาขอเอาใจช่วยโยมทุกท่าน ที่กำลังก้าวผ่านเหตุการณ์นี้ วันเวลาคือเครื่องพิสูจน์ ว่าเราจะอดทนได้มากน้อยแค่ไหน กับใจที่อ่อนไหว โอนเอน เมื่อยามเจออุปสรรคปัญหา

“ความทุกข์ ก็เหมือนนก บินข้ามหัวเราไป ข้ามหัวเรามา เราไม่สามารถห้ามนกไม่ให้บินข้ามหัวเราได้ แต่เราสามารถห้ามไม่ให้มัน ทำรังบนหัวเราได้” !!!

ฉะนั้นต้องมั่นคง อย่ากลัวที่จะต้องอยู่กับความจริง ตัดสินใจแล้วก้าวต่อไปข้างหน้า ขอให้ญาติโยมพุทธศาสนิกชนทุกท่านประสบความสำเร็จในชีวิตตามเป้าหมายที่หวังไว้ทุกท่านทุกคนเทอญ...ขอเจริญพร

                               หนุ่มจีนเซียงไฮ้  โลภบุญ “รับคำสอนมาผิดๆ”
                               !! ยิ่งบริจาคมากเท่าไหร่ -  ยิ่งได้มากเท่านั้น !!
คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม

เจริญพรญาติโยมทุกท่าน อาตมาได้รับกิจนิมนต์ ให้เดินทางไปเมืองเซียงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน อีกครั้ง
เนื่องจากศิษย์เขานิมนต์มา ก็เลยต้องไปให้แสงสว่างแห่งธรรมอีกครั้ง เพราะเมื่อครั้งที่แล้ว ญาติโยมที่พลาด ต่างรวมตัวกัน ขอให้มาอีก
อาตมาปฏิเสธไม่ได้ ก็เลยต้องไป ทั้งที่งานที่เมืองไทยก็มากโข เอาการอยู่ ส่งผลให้มีโอกาสได้พบกับโยมหนุ่มเซียงไฮ้ท่านหนึ่ง เขาเชื่อในเรื่องของการทำบุญบริจาค ยิ่งให้มากเท่าไหร่ ยิ่งได้มาเท่านั้น เขาบอกว่า เคยมีอาจารย์สอนเขาไว้เยี่ยงนั้น
เมื่อเขาได้เจออาตมา จึงอยากจะถามให้รู้แจ้งแทงตลอด ว่าจริงๆแล้ว ความเชื่อในลักษณะนี้ ถูกต้องหรือไม่
อาตมาจึงสอนเขาไปว่า การให้ หรือการทำบุญบริจาคนั้น เป็นเรื่องประเสริฐอยู่แล้ว การให้เป็นสิ่งดีงาม สร้างความสุขใจทั้งผู้ให้และผู้รับ
ยิ่งการสร้างถาวรวัตถุไว้ในบวรพุทธศาสนานั้น มีประโยชน์มากมายต่อคนรุ่นหลัง เพราะคนที่มาวัดล้วนเป็นคนใฝ่ดีทั้งสิ้น
ส่วนประเด็นที่เคยมีอาจารย์สอนไว้ว่า ทำมากได้มากนั้น  เป็นคำสอนที่ผิด อย่าไปยึดติดคำสอนนี้ มันกลายเป็นการทำบุญทำทานเพื่อหวังผล หวังได้ หวังมี หวังรวย
มันกลายเป็นทำบุญเพราะโลภ ก็คือ โลภบุญ จุดนี้อันตราย เพราะถ้าไม่ได้ดั่งหวัง ไม่ได้ดังใจ จะเกิดความเครียด กังวน สับสนในคำสอน และจะเริ่มตำหนิอาจารย์ จนกลายเป็นอารมณ์ขุ่นมัว เกิดทิฎฐิมานะ ยึดมั่นสำคัญผิด
ยิ่งถ้าคิดว่าทำบุญเพื่อตนเองจะได้ขึ้นสวรรค์ ยิ่งเป็นการเข้าใจที่ผิด โดยเฉพาะในความเป็นพุทธศาสนิกชน ต้องมีความเข้าใจในคำสั่งสอนขององค์ศาสนาอย่างแท้จริง
ที่โยมสนใจ สงสัย และถามเรื่องนี้ ทำให้อาตมาเกิดความห่วงกังวลต่ออนาคตของคนหนุ่มสาว ที่มีความเชื่อแบบผิดๆเยี่ยงนี้
และการทำบุญนั้นมีวัตถุประสงค์อย่างไรกันแน่
แน่นอนว่าในชีวิตประจำวันนั้น การถือศีลห้าให้ครบถ้วนสำหรับคนในสังคมยุคใหม่ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะความความสับสนวุ่นวายของวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ที่ร้อนรนและมุ่งมองหาแต่สิ่งที่ตนเองต้องการ
หากคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่มองว่าศาสนาคือการทำเพื่อตนเอง  เพื่อประโยชน์แห่งตน เพื่อให้ผลบุญนั้นมาเกิดกับตนเท่านั้น คนอื่นไม่เกี่ยว นั่นก็เท่ากับเป็นความเข้าใจผิดตั้งแต่ต้นแล้ว
หากเป็นเช่นนั้นจะตักบาตร  ทำบุญ ไหว้พระกี่วัดกี่รูปก็ไม่ได้ทำให้ความเข้าใจในศาสนาของคนหนุ่มสาวนั้นพัฒนาก้าวหน้าไปสู่ความเป็นคนคิดดีทำดี ที่จะเอื้อให้สังคมน่าอยู่ขึ้น  ผู้คนมีความรู้สึกพร้อมจะเสียสละเพื่อให้สังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างอยู่เย็นเป็นสุข

เพราะการเป็นคนหนุ่มสาวที่ดีนั้นเริ่มต้นต้องไม่คิดว่าทำบุญบริจาคแล้วตนจะได้ขึ้นสวรรค์กี่ชั้น แต่ต้องคิดว่าทำบุญแล้วคนอื่นจะได้ผลบุญจาก
การให้ของเรามากน้อยแค่ไหนมากกว่า
ถ้าทำบุญกันอย่างถูกต้องจริง ๆ  สังคมคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่คงไม่ทะเลาะกันถึงขั้นนี้หรอกคุณโยม
อาตมาอยากจะบอกกับคุณโยมผู้อ่านทุกท่านว่า การทำบุญบริจาคนั้น ในพุทธศาสนาของเรา มีหลายระดับ ขึ้นอยู่กับทิฎฐิของบุคคล


สัมมาทิฏฐิในพุทธศาสนานั้น ในระดับต้นหรือโลกิยะ เช่น การเชื่อว่า ทำบุญแล้ว มีผลตอบแทนแก่ตน ซึ่งแม้จะเป็นการทำเพราะหวังผล แต่ก็เป็นวิธีที่ช่วยให้เกิดการเจือจานกันในสังคม เป็นวิธีที่ช่วยให้เรามีความหวัง
เช่น ทำบุญเพราะคิดว่าในขณะนี้ เรายังพอมีกำลังก็ควรเราช่วยเขา
ส่วนอนาคตนั้นไม่แน่นอน เผื่อว่าอีกหน่อยเราลำบาก เขาจะได้ย้อนกลับมาช่วยเราบ้าง หรือทำบุญเพราะหวังว่าผลบุญจะส่งให้ได้ไปสวรรค์ เหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ช่วยชโลมใจ ทำให้มีกำลังใจในการช่วยเหลือผู้อื่น
อย่างไรก็ดี เนื่องจากเป็นการทำบุญที่หวังผลตอบแทนต่อตนโดยมีผู้อื่นพลอยได้รับผลประโยชน์ จึงอาจโน้มจิตให้ต่ำลงได้ และยึดมั่นในความเป็นตัวตน ของตน
ส่วนสัมมาทิฏฐิในระดับที่เป็นโลกุตตระ ก็คือ ทำบุญ เพื่อฝึกการละ เพื่อหวังผลดีที่จะเกิดแก่บุคคลอื่นอย่างแท้จริง ไม่ได้หวังผลตอบแทนต่อตน
การที่ยังหวังผลตอบแทนต่อตน ทำให้ยังมีตัวตนวนไปรับผลนั้น ผู้ที่นำธรรมมาปฏิบัติในชีวิต
 ปฏิบัติธรรม มีความหมายรวมทั้งการเรียนรู้ และ นำสิ่งที่เรียนรู้มาปฏิบัติให้เกิดประโยชน์แก่ชีวิต ทั้งในปัจจุบัน และ ที่เลยตาเห็น
 เพื่อบรรลุผลสูงสุดในพุทธศาสนา ย่อมฝึกการละความยึดมั่นในตนนี้อยู่แล้ว จึงไม่หวังผลที่จะเกิดตอบแทนต่อตน เพื่อให้มีตัวตนวนเกิดดังกล่าว
ส่วนการไม่เชื่อว่าบุญมีผล จัดเป็นมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งมิจฉาทิฏฐินี้ ชักนำให้เราตระหนี่ เพราะเห็นว่าทำไปก็ไม่ส่งผลอะไร ผลก็คือ อาจไม่เกิดการเจือจานกันในสังคม
พระพุทธองค์แสดงธรรมเพื่อให้เหมาะกับบุคคลทุกระดับ ทั้งเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข และทั้งเพื่อความสงบสุขอย่างแท้จริงของปัจเจกชน
ดังนั้น ถ้าจะหวังผลจากการทำบุญ เพราะยังคลายความยึดมั่นในตนไม่ได้ ก็ยอมได้บ้าง แต่ต้องรู้ว่า ผลบุญอย่างนั้นไม่ใช่สิ่งที่ยั่งยืน และต้องฝึกที่จะทำบุญอย่างบริสุทธิ์ใจบ้าง
ดังที่พระพุทธองค์เมื่อตรัสกับผู้ที่ยังไม่เห็นธรรมเลย จะตรัสอนุปุพพีกถาก่อน คือ ตรัสถึง อานิสงส์ของศีล อานิสงส์ของทาน
 ซึ่งการรักษาศีลและการทำทานนี้จัดว่าเป็นบุญ
 ผลของบุญอันเป็นเหตุให้ได้เกิดในสวรรค์ ความเศร้าหมองของสวรรค์ และ การเข้าถึงความสงบอย่างแท้จริง เมื่อผู้ฟังพร้อม จึงจะตรัสอริยสัจ ๔
เราคงต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป เหมือนเดินขึ้นบันได ที่ยังต้องยึดราวอยู่ แล้วค่อยๆปล่อยราวบันได
สรุป เวลาทำบุญนั้น หากหวังผลประโยชน์เข้าตัวเอง ถือว่าเป็นการทำบุญที่เจือด้วยความโลภหรือกิเลสอยู่ อาตมาขอเรียกเองว่า โลภบุญ
 แต่หากทำบุญแล้วอุทิศส่วนบุญให้ผู้อื่น ไม่ถือว่าเป็นการทำด้วยกิเลส เป็นสิ่งดีด้วยซ้ำ เพราะช่วยเพิ่มพูนเมตตากรุณาในใจเรา
ที่จริงเวลาทำบุญ เช่นให้ทาน ควรนึกถึงประโยชน์ที่จะเกิดแก่ผู้รับเป็นหลัก ส่วนประโยชน์ที่จะเกิดแก่เรานั้น แม้ไม่หวังหรือไม่อยาก ก็ย่อมบังเกิดแก่เราอยู่นั่นเอง
ถ้าหากนึกถึงประโยชน์ที่จะเกิดแก่ตน ก็ควรมุ่งหวังว่าขอให้ธรรมเจริญงอกงามในใจเรา เช่น มีเมตตากรุณาและปัญญามากขึ้น ความเห็นแก่ตัวลดลง หรือไม่ก็ตั้งจิตมุ่งถึงพระนิพพาน
การตั้งจิตนี้ดีกว่าปรารถนาความร่ำรวยมั่งมี

 เพราะเป็นการปลูกฉันทะและศรัทธาในธรรมให้ตั้งมั่นในใจ  เจริญพร

             ภรรยานอกใจ - ใช้ธรรมะข้อใด - ให้คลายทุกข์
คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม


เจริญพรญาติโยมพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สัปดาห์นี้อาตมานำเรื่องราว ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวหนึ่ง ซึ่งฝ่ายสามีโทรศัพท์เข้ามาขอคำปรึกษาอาตมา เล่าให้ฟังว่า “แต่งงานอยู่กินกับภรรยา มีพยานรัก 1 คน เป็นลูกสาว”

เมื่อวันเวลาผ่านไป เกิดเรื่องที่ไม่คาดฝัน กับครอบครัว ฝ่ายภรรยาเริ่มมีอาการแปลกๆ บ่อยครั้งโทรศัพท์คุยกับใครก็ไม่รู้ บางทีก็ไปแอบคุยเงียบๆคนเดียว ในมุมอับของบ้าน

พอถามก็บอกคุยกับญาติ แต่ออกอาการลับๆล่อล่อ มีอะไรเคลือบแฝงปิดบังอย่างชัดเจน

“ตามที่ฟังเธออธิบาย ผมคิดว่า น่าจะมีอะไรซ่อนเร้น สุดท้ายก็จับได้ว่าเธอ แอบมีกิ๊ก เป็นชายหนุ่ม มีภรรยาแล้ว มีลูก 2 คน ทำอาชีพขับรถส่งของ กลางวันฝ่ายชายจะแอบมามีอะไรกับภรรยาผม”

โดยส่วนตัวกลางวันผมต้องไปทำงาน แต่การดูแลครอบครัว ผมไม่เคยบกพร่อง เลี้ยงดูภรรยาและลูก รับผิดชอบทุกอย่าง ไม่ได้ให้เธอทำงาน เพราะต้องการให้เธอดูแลลูก แต่สุดท้ายเธอก็มาทำเรื่องไม่คาดคิด ผมรับไม่ได้จริงๆ

ตอนนี้ผมมึนมาก ไม่รู้จะตัดสินใจดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร ก็เลยโทรศัพท์มาขอธรรมะแง่คิด หวังว่าหลวงพี่ น่าจะช่วยชี้แนะทางสว่างให้ผมได้

เรื่องของโยมอาตมามีทางเลือกให้โยม 2 ทาง คือ 1.เลิกกันไปเลย แล้วเอาลูกมาเลี้ยงเอง เหตุผล จะได้หมดทุกข์ 2.อยู่กันต่อไป เจ็บปวดอย่างไร ก็ยอมทน เหตุผล อดทนเพื่อลูก

วิธีดับทุกข์เพราะสามีภรรยา ผู้ที่ครองเรือน ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าสามีภรรยา ทั่วไปมีศีลมีธรรม ครอบครัวนั้น ย่อมมีความสุขตามโลกียวิสัย ไม่มีปัญหา

ส่วนสามีภรรยาที่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข หรือมีความทุกข์นั้น ขึ้นอยู่กับ “เสน่ห์ กับ เสนียด”

เสน่ห์ คือ สื่อทำให้สามีภรรยา รักกัน เช่น พูดจาไพเราะ อ่อนหวาน พูดจริง พูดแต่ในเรื่องที่ควรพูด การแต่งกายให้ดูดีอยู่เสมอ ขยันในกิจการบ้านเรือน

ส่วนเสนียด คือ มีแต่จัญไร และอัปมงคล พบกันมีแต่บ่นด่า ฝ่ายที่ถูกบ่นถูกด่าก็ไม่อยากอยู่ใกล้ ไม่อยากเข้าบ้าน ก็ต้องไปหาบ้านอยู่ใหม่

ทางแก้ คือ ควรใช้หลักธรรม หลักศีล คือต้องไม่จู้จี้ พูดมาก ขี้บ่น ต้นเหตุเพราะ คนในบ้านไม่ให้ความร่วมมือ อะไรๆจึงมาตกแก่แม่บ้านหมด ทั้งงานนอกงานใน ขี้เยี่ยวไม่ออกก็แม่บ้านคนเดียว ถ้า “ทำใจ” ไม่ได้ โรคประสาทก็จะถามหาทันที

ทางแก้ คือ ทั้งพ่อบ้านแม่บ้านและลูกบ้าน ควรร่วมมือกัน อะไรพอทำได้ก็ช่วยกัน และแม่บ้านที่ฉลาด ก็ไม่ควรจะผูกขาดงานในบ้านเสียคนเดียว ใครๆทำให้ก็ไม่ถูกใจ ควรฝึกให้ลูกๆขยันและช่วยตนเองให้มาก การเอาแต่ใจตัว คือ ชอบทำอะไรเผด็จการ ไม่ปรึกษาหารือกันก่อน

“สามีภรรยามีสองร่าง แต่ควรมีหัวใจเดียวกัน” บ้านจึงสันติสุข ควรเป็นคนมีเหตุผล อย่าทำอะไรตามอารมณ์ แม้ว่าการทำเช่นนั้นไม่ทำให้ครอบครัวแตกแยกก็จริง แต่ต้องนอนหันหลังให้กัน ย่อมไม่มีความสุข ควรควบคุมอารมณ์ ก่อนทำหรือพูดควรมีสติ และปัญญา ควรมีความสันโดษ หรือพอใจในสิ่ง ที่มีและได้ อย่าเทียบฐานะกับคนที่เหนือกว่า ควรเทียบกับคนที่ด้อยกว่า แล้วชีวิตจะมีสุข

ครอบครัวแสนสุข คือ อยู่ในศีลธรรมทางศาสนา มีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ เมื่อหลีกเลี่ยงการหย่าร้าง ไม่ได้ ควรนึกถึงลูกให้มากๆ ควรมอบความรักให้กับลูกให้มากๆ ยากนักที่ลูกจะได้รับความรักความอบอุ่นจากคนอื่น เทียบเท่าพ่อแม่ เด็กมักเป็นปัญหาแก่สังคม อย่าทิ้งเวรกรรมไว้กับลูก เพราะเขายังอ่อนต่อโลกและชีวิตนัก

เมื่อเกิดเป็นปุถุชนคนธรรมดา ย่อมมีทั้งความสุขและทุกข์ คลุกเคล้ากันไปในชีวิต แล้วแต่ว่า แต่ละคนจะมีวิธี เสาะแสวงหา หรือ หลีกเลี่ยง ความสุขทุกข์ เหล่านั้นกันอย่างไร

วิธีการดับทุกข์ เพื่อได้พบกับหนทางแห่งความสุขในชีวิต ต้องเข้าใจสังขาร คือ เกิด แก่ เจ็บ และตาย หนาว ร้อน หิว กระหาย ปวดอุจจาระ ปัสสาวะ ทุกข์เกิดจากกิเลส คือ โลภ โกรธ และหลง ทุกข์เกิดจากการหาอาหาร ทุกข์เกิดจากการทะเลาะวิวาท ทั้งหมดคือทุกข์รวบยอด

พ่อแม่ลูก"ทำกรรมร่วมกันมา" แต่อดีตชาติ" ประเภทเสียด้วยกัน คือทั้งสองฝ่ายเคยทำบาปทำกรรมร่วมกันมา มีความชั่วพอๆกัน ชอบเรื่องร้ายๆพอกันอย่างนี้เกิดมาพบกันอีก และอยู่ด้วยกันได้ แม้จะลุ่มๆดอนๆก็ไม่ค่อยแยกกัน ถึงคราวสุขก็สุขด้วยกัน ถึงคราวทุกข์ก็ทุกข์ด้วยกันได้

ประเภทนี้ก็เช่นกัน ถ้าเป็นสามีภรรยากัน ก็ประเภทหญิงร้ายชายเลว หรือพวกนักเลงเที่ยว นักเลงพนัน นักเลงสุรา จนกระทั่งนักเลงปล้นจี้ เป็นต้นคือชอบอย่างเดียวกัน ย่อมไปด้วยกันได้

ส่วนอีกประเภทมีเวรต่อกัน คือประเภทที่อีกฝ่ายหนึ่งอาจดี แต่อีกฝ่ายอาจเสีย ฝ่ายดีก็จะถูกฝ่ายเสียคอยรบกวน รังควาน ทำลายอยู่เรื่อย ไม่โดยตรง ก็โดยอ้อม อย่างกรณีที่ยกตัวอย่างมา เช่น บางรายพ่อแม่ดี แต่ลูกไม่ดี บางรายครอบครัวดี แต่บริวารนำความเดือดร้อนมาให้

กรณีอย่างนี้เกิดขึ้น เพราะทั้งสองฝ่าย หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ยังผูกเวรจองกรรมไว้ จึงต้องมาพบกัน คอยขัดขวางกันอยู่ร่ำไป

ไม่ต้องอื่นไกล แม้แต่พระพุทธองค์ ยังทรงมีมารคอยผจญ มีพระเทวทัตคอยทำลาย และมีนักบวชต่างศาสนาคอยล้างผลาญ

อำนาจของเวร ลองได้ก่อไว้ หรือถูกก่อไว้ ก็เป็นได้ตามผจญกันไม่สิ้นสุด ประดุจเวรของงูกับพังพอน เวรของกากับนกเค้า และเวรของมนุษย์ผู้ถือตัวจัดในเรื่องศาสนากับผิวในปัจจุบัน

พระพุทธเจ้าจึงสอนให้ละเวรเสีย อย่างน้อยก็ด้วยการรักษาศีล ตั้งมั่นอยู่ในศีล เพราะศีลเป็นเวรมณี เป็นข้อปฏิบัติที่ทำให้หมดเวรได้



แม้อย่างกรรมก็เช่นกัน ไม่ว่าจะทำคนเดียว หรือร่วมทำกับใคร หากเป็นกรรมชั่วกรรมเสียแล้ว ท่านว่าไม่ควรทำทั้งนั้น...ขอเจริญพร

วันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ภรรยาท้อง – สามีทิ้ง !! “ชีวิตจริงยุคปัจจุบัน”

โยมเครียดถึงทางตัน “อยากเลิก” แต่ทำใจไม่ได้

คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม


เจริญพรคุณโยมผู้อ่านทุกท่าน สัปดาห์นี้นำเสนอปัญหากรณี “ภรรยาท้อง สามีทิ้ง” เที่ยวเตร่ คบชู้ นอกใจ ไม่มีเยื้อใย เครียด กังวนใจ มืดรอบด้าน...

โทร.เข้ามาหาแสงสว่าง เล่าว่า...แต่งงานกับแฟน คบหาดูใจหลายปี สุดท้ายแต่งงาน หลังจากนั้นตั้งครรภ์ ผ่านมา 7 เดือน มีข่าวร้าย สามีไปมีกิ๊ก
สำหรับกรณีของโยม มีหลายคู่ ที่เกิดเรื่องแบบนี้ และการจะเรียกสามีกลับมา ต้องอย่าไปชวนทะเลาะ เบื้องต้นควรพูดคุย แนะนำคำพูดที่เป็นมงคล อาตมาอยากให้ยึดหลักการดำเนินชีวิต เฉกเช่น... “การเคี้ยวอาหาร ถ้าลิ้นกับฟันทำงานไม่ประสานกัน ก็มีหวังขบลิ้นตนเองต้องเจ็บปวดจนน้ำตาร่วง”

การครองเรือน ถ้าสามีภรรยาไม่สงเคราะห์กัน ไม่มีความเข้าใจกัน นอกจากจะไม่ก้าวหน้าแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็มีหวังช้ำใจน้ำตาร่วงได้เหมือนกัน

สามี คือ ผู้เลี้ยง ภรรยา คือ ผู้ควรเลี้ยง ผู้ชายที่ได้ชื่อว่าสามี ก็เพราะเลี้ยงดูภรรยา ผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าภรรยา ก็เพราะทำตัวเป็นคนควรเลี้ยง

การจะดูว่าใครเป็นสามีภรรยาชนิดไหน ต้องดูหลังแต่งงาน เริ่มที่ ระยะแต่ง คือก่อนเป็นสามีภรรยากัน ต่างคนต่างแต่ง ทั้งแต่งตัว แต่งท่าทาง อวดคุณสมบัติให้อีกฝ่ายหนึ่งเห็น ...จากนั้นมา ระยะงาน คือหลังจากเป็นสามีภรรยากันแล้ว ต่างคนต่างต้องทำงานตามหน้าที่ ใครมีข้อดีข้อเสีย มีความรู้ความสามารถ มีความประพฤติอย่างไรก็จะปรากฏชัดออกมา

พื้นฐานที่จะทำให้สามีภรรยาครองชีวิตยืนยาว และมีความสุข คือคู่สามีภรรยา ต้องมีศรัทธาต่อกัน มีเป้าหมายเหมือนกัน มีความประพฤติดีมีศีลธรรมจรรยา กิริยามารยาทดี ไม่เห็นแก่ตัว ใจกว้างไม่ดื้อด้าน เห็นอกเห็นใจ และต้องพูดกันรู้เรื่อง

อาตมาแนะวิธีทำให้ความรักยั่งยืน การเป็นสามีภรรยา เป็นเรื่องที่จะว่ายากก็เหมือนง่าย ครั้นจะว่าง่ายก็เหมือนยาก เพราะเพียงเราตั้งคำถามว่า ทำอย่างไรสามีภรรยาจึงจะมีความรักยั่งยืนราบรื่น

หัวใจสำคัญต้องสงเคราะห์กัน มีน้ำใจ รู้จักการให้ แบ่งปัน ถ้ารักที่จะอยู่ด้วยกัน ต้องปันกันกิน ปันกันใช้ หามาได้ควรรวมกันไว้เป็นกองกลาง แล้วจึงแบ่งกันใช้ หากไม่เอามารวมกัน อาจเกิดการระแวงกันได้ ที่ใดที่ปราศจากการให้ ที่นั่นย่อมแห้งแล้ง เหมือนทะเลทราย การปันกันนี้รวมทั้งการปันทุกข์กันในครอบครัวด้วย เมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมีความทุกข์ มีปัญหา ควรนำมาปรึกษา อีกฝ่ายต้องรับรู้จักรับฟังและปลุกปลอบให้กำลังใจ

ควรพูดกันด้วยวาจาไพเราะ แม้การตักเตือนกัน ต้องระมัดระวังคำพูด ถ้าถือเป็นกันเองมากไป อาจทำให้ครอบครัวไม่สงบ

ก่อนแต่งงานเคยพูดไพเราะอย่างไร หลังแต่งงานก็พูดให้เพราะอย่างนั้น

ควรฝึกฝนตนให้เป็นประโยชน์ คือมีความรู้ความสามารถ แล้วนำความรู้ความสามารถที่มีอยู่นั้นมาช่วยเหลือกัน ประพฤติตนเป็นประโยชน์ต่อกันในทุกด้าน เมื่อรู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี ควรหรือไม่ควร ก็นำมาเล่าสู่กันฟัง

สามีภรรยาเมื่อทะเลาะกัน มักจะโยนความผิดให้อีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งแท้จริงแล้วย่อมมีความผิดด้วยกันทั้งคู่ อย่างน้อยก็ผิดที่ไม่หาวิธีที่เหมาะสมแนะนำตักเตือนกัน ปล่อยให้อีกฝ่ายหนึ่งทำความผิด

ควรวางตัวให้เหมาะสม เป็นพ่อบ้านก็ทำตัวให้สมกับเป็นพ่อบ้าน เป็นแม่บ้านก็ทำตัวให้สมกับเป็นแม่บ้าน วางตัวให้เหมาะสมกับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายทั้งในบ้านและนอกบ้าน

สามีภรรยาควรประพฤติ ปฏิบัติให้ดี ต้องฝึกสมาธิให้ใจผ่องใสเป็นปกติ เพราะคนที่ใจผ่องใส จะรู้ว่าในภาวะเช่นนั้น ควรจะวางตนอย่างไร ไม่ระเริงจนวางตนไม่เหมาะสม

สามีภรรยาควรยึดหลักคำพูดที่ไพเราะ เพื่ออุดข้อบกพร่อง จะได้เป็นคนมีประโยชน์ ทำใจให้ผ่องใส จะได้เกิดปัญญา วางตัวได้เหมาะสมกับที่ตัวเป็น

หน้าที่ของสามี ต้องยกย่องให้เกียรติภรรยา ไม่ปิดบัง หากทำดี ก็ชมเชยด้วยใจจริง หากทำผิดก็เตือน ไม่ควรตำหนิภรรยาต่อหน้าสาธารณชนหรือคนในบ้าน เพราะจะเสียอำนาจการปกครอง สิ่งใดเป็นเรื่องส่วนตัว เช่น การเลี้ยงเพื่อน พบปะญาติมิตร ควรให้อิสระตามสมควร

อย่าดูหมิ่น ไม่เหยียบหยามว่าต่ำกว่าตน ไม่ดูถูกเรื่องตระกูล ทรัพย์ ความรู้ การแสดงความคิดเห็น ไม่กระทำเรื่องที่เกี่ยวกับครอบครัวโดยไม่ปรึกษา หารือ และห้ามทุบตีด่าทอ

ไม่นอกใจ ไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับหญิงอื่น เพราะเป็นการดูหมิ่นความเป็นหญิงของภรรยา ให้เอาใจเขามาใส่ใจเรา ภรรยาทุกคนจะปลื้มใจที่สุด ถ้าสามีรักและซื่อตรงต่อตนเพียงคนเดียว

มอบความเป็นใหญ่ให้ภรรยา ให้เป็นผู้จัดการทางบ้าน ไม่เข้าไปก้าวก่ายในเรื่องการครัว การปกครองภายใน นอกจากเรื่องใหญ่ๆ ซึ่งภรรยาไม่อาจแก้ปัญหาได้

หน้าที่ภรรยาต่อสามี จัดการงานดี จัดบ้านให้สบายน่าอยู่ จัดอาหารให้ถูกปาก จัดเสื้อผ้าเครื่องใช้ให้สะอาด ดูแลลูกให้ความรักอบอุ่น สงเคราะห์ญาติข้างสามี ด้วยการเอื้อเฟื้อ ให้ความช่วยเหลือตามฐานะ ไม่นอกใจ จงรักภักดี ซื่อสัตย์ต่อสามี รักษาทรัพย์ให้ดี ไม่ฟุ่มเฟือย ขยันทำงาน ไม่เอาแต่กิน นอน เที่ยว หรือเล่นการพนัน

สามีภรรยาควรยึดเหนียวน้ำใจกันไว้ด้วยคุณธรรม แทนการสงเคราะห์ ที่ทั้งสองฝ่ายปฏิบัติต่อกัน จะเป็นเงื่อนใจ คล้องไว้ในใจสามี คล้องไว้ในใจภรรยา ถ้าทำได้ตามหลักธรรมนี้ ต่อให้มนุษย์หน้าไหนก็มาพรากไปจากกันไม่ได้ แม้แต่ความตายก็พรากได้เพียงร่างกาย ส่วนดวงใจนั้นยังคงคล้องกันอยู่ชั่วนิรันดร์

อาตมามีข้อเตือนใจอยู่ว่า แม้บางคนตั้งใจแล้วว่าจะต้องยึดใจเอาไว้ ครั้นปฏิบัติจริงก็ไม่วายเขว พอสามีทำท่าจะหลงใหลออกนอกลู่ ภรรยาควรปักใจให้มั่นในการทำความดี ปฏิบัติหน้าที่ของเราไม่ให้บกพร่อง แล้วทุกอย่างจะดี

อีกหลักที่อาตมาต้องเตือนคือ ไฟในอย่านำออก ไม่นำเรื่องราวปัญหา ความร้อนใจต่างๆ ในครอบครัวไปเปิดเผยแก่คนทั่วไปภายนอก ส่วนไฟนอกอย่านำเข้า หมายถึง ไม่นำเรื่องราวปัญหาต่างๆ ภายนอกที่ร้อนใจเข้ามาในครอบครัว

ชีวิตในครอบครัว ต้องกินให้เป็นสุข จัดการเรื่องอาหารการกินในครอบครัวให้ดี ปรนนิบัติพ่อแม่ของสามีอย่าให้บกพร่อง ถ้าทำได้อย่างนี้ ตัวเราเองเวลากินก็จะกินอย่างมีความสุข ไม่ต้องกังวล

อานิสงส์ของการที่สามีสงเคราะห์ภรรยา จะทำให้ความรักยืนยง ทำให้สมานสามัคคีกัน ทำให้ครอบครัวมีความสงบสุข ทำให้ได้รับการยกย่องสรรเสริญ เป็นแบบอย่างที่ดีแก่อนุชนรุ่นหลัง “ภรรยานั้นอยู่ใกล้ชิด หากไม่ผูกมิตร ชีวิตจะสั้น ภรรยานั้นอยู่ร่วมกัน หากคิดสร้างสรรค์ บ้านนั้นเจริญ” ….ขอเจริญพร

ลูกชายตาบอด พฤติกรรมไม่สำเหนียก แม่พามาวัดไผ่ล้อม
"ดวงตาเห็นธรรม"

คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม

เจริญพรญาติโยมพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สัปดาห์นี้มีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตในครอบครัว

เมื่อเร็วๆนี้ โยมมาวัดไผ่ล้อม ร่วมพิธี เปลี่ยนผ้าครอง สักการะสังขารพระเดชพระคุณหลวงพ่อพูล อัตตะรักโข

โยมมาทั้งครอบครัว พ่อ แม่ ลูก เข้ามาหาอาตมา...โยมที่เป็นแม่ บอกเซ็งสุดขีด กับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนคนนี้ เพราะที่ผ่านมาเกเรสุดๆ ทั้งที่มองไม่เห็นโลก

น่าสงสารมากที่สุด เจ้าหนุ่มน้อยรายนี้ มีความบกพร่องทางตา...ดวงตาของเขามืดสนิททั้งสองข้าง แต่ด้วยวัยยังเด็ก ควบคุมอารมณ์ให้ก้าวเดินตามครรลองไม่ข้องนัก

ปัจจุบันเรียนอยู่ชั้น ม.1 แม่บอกเกเรมาก

ในความจริงน้องเป็นเด็กมีปมด้อย เวลาน้อยใจ เสียใจ ไม่รู้ไปลงที่ไหน ก็หันมาประชดตัวเอง ด้วยการโวยวายใส่อารมณ์กับพ่อแม่ ด้วยพฤติกรรม งี่เง่า ขี้โมโห หงุดหงิด!!!

เนื่องเพราะเขายังขาดจิตสำนึกที่ดีในความเป็นคน

จงจำไว้เลยลูกๆทั้งหลาย ทุกอย่างเริ่มต้นที่ตัวเรา เมื่อเกิดมาแล้ว ต้องสู้กับชีวิต อย่าใช้ชีวิตไปในทางทำร้ายตัวเอง อย่าซ้ำเติมตัวเอง แบบไร้สมอง ตรองตระหนักสำเหนียก อย่าพยายามเป็นคนดีของใคร แต่จงพยายามบังคับใจตนเอง ให้ทำดีทุกวัน

ต้องยอมรับในกรรมเก่าของเรา ต้องชดใช้กรรมไปตามวาระโอกาส แต่มิใช่ ทำชีวิตให้มันแย่ลง....นี่คือสิ่งที่อาตมาพยายามพร่ำสอนเด็กคนนี้

แม่ของเด็กเล่าให้ฟังว่า..... “โยมพาไปแล้วหลายวัด หลายหลวงพ่อ แก้ไม่หาย สอนเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง ไม่ยอมสนใจ สุดท้ายก็เลยตัดสินใจพามาหาหลวงพี่ ให้ปราบพยศเจ้าลูกชายตัวแสบคนนี้”

อาตมาก็เลยสอนไปว่า.... สิ่งแรกที่ลูกควรตระหนักคิดประการแรกก็คือ ถามตัวเองก่อน ใครทำให้เราได้เกิดขึ้นมา ถ้าไม่ใช่พ่อและแม่ ทั้งสองท่านนี้ ประเสริฐที่สุดในชีวิตของเรา จะคิดจะอ่านจะทำอะไรก็แล้วแต่ ให้นึกถึงสองท่านนี้ก่อนเป็นอันดับแรก “ถ้าคิดได้ ชีวิตก็จะเป็นมงคล”

ประการต่อมา อย่าทำให้พ่อแม่ต้องเสียใจ อย่าให้เขามาทุกข์ใจเพราะเรา เขาทำให้เราได้เกิดมามีชีวิต เป็นคนนั้น ถือว่าบุญโขแล้ว

ถึงแม้ลูกจะมีอาการไม่ครบ 32 แต่อย่างน้อย เราก็ได้หัวใจมาเต็มเปี่ยม ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดี

มันเป็นโอกาสทองครั้งสำคัญ ที่จะตอบแทนบุญคุณท่าน ถึงเวลาที่จะต้องสะสมความดี สร้างบุญสร้างกุศล ถ้ามีโอกาสเกิดชาติหน้าภพใหม่ จะได้มีชีวิตสมบูรณ์กว่านี้

ถึงดวงตาของเราจะมืดบอด มองโลกเป็นสีดำ แต่ใจอย่าบอด ใจอย่ามืดดำโดยเด็ดขาด ใจต้องขาว สว่าง บริสุทธิ์ผุดผ่องเสมอ

อย่าไปเกลียดความมืด ความเหงา เพราะมันคือเพื่อนที่ดีที่สุด ในเวลาที่เราไม่เหลือใคร

พออาตมาพูดจบ หนุ่มน้อยตาบอด น้ำตาไหลซึม ....แล้วน้ำตาก็หยดแมะลงมาอย่างเห็นได้ชัด!!!

อาตมาจึงถามไปว่า “ให้สัญญาได้มั้ย ว่าต่อไปนี้จะไม่ทำให้พ่อแม่ต้องเสียใจอีก เลิกดื้อ เลิกซน กลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ เริ่มเป็นคนดีเสียตั้งแต่บัดนี้ อนาคตยังไม่สายที่จะแก้ไขปรับปรุง” จงจำไว้ เมื่อมีชีวิตเกิดมาแล้ว ก็มีกรรม หมดชีวิตตายไป ก็หมดกรรม

ลูกชายพยักหน้า รับปาก ทั้งที่น้ำตายังไหลรินออกมาจากดวงตาที่มืดสนิททั้งสองข้าง เขาระลึกดีรับรู้ได้ในคำสอนคำเตือนของอาตมา

“ความดื้อรั้นที่มันแน่นอยู่ในอก ลูกควรยกออกเสีย” อย่าให้มันจุกอยู่ในหัวใจ ผ่อนคลาย เปลี่ยนแปลง ล้างสนิมที่ไม่ดีอยู่ในใจออกไปให้หมด เร่งทำความสะอาด กาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์ ล้างทุกข์ล้างบาปเสียให้หมดสิ้น มันเป็นโอกาสสุดท้ายของลูก ในการใช้ชีวิตตามครรลอง อย่าให้ปีศาจแห่งความชั่วมาครอบงำ

ให้จำไว้เลยว่า ไม่มีใครมีชีวิตที่ราบรื่นอยู่ตลอดเวลา ต้องระลึกว่า ไม่มีวันสายเกินไปที่จะทำในสิ่งที่ดีๆ

ไม่มีคำว่าสายเกินไป ที่จะเริ่มทำชีวิตใหม่ ทำงานช่วยพ่อแม่ ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ หรือแสวงหาความรับผิดชอบอย่างถ่องแท้

นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับเรา ....เราไม่มีทางหลีกเลี่ยงมัน มันเกิดแล้ว เราต้องยอมรับมัน และต้องใช้ชีวิตอยู่กับมันให้ได้ คนที่เกิดมาบางคนตาบอด แขนขาขาดก็มี เราเกิดมา ตามองไม่เห็น แต่อย่างน้อย เราก็ยังมีความรู้สึกและคิดได้ เรายังโชคดีกว่าคนอื่นๆอีกหลายคน

“เด็กก็เหมือนต้นไม้ ตอนนี้เขายังไม่รู้เลยว่า ควรจะไปอยู่กับดินแบบไหน และเขาเป็นต้นอะไร....

ถ้าเขาเป็นต้นกระบองเพชร เขาก็ต้องไปอยู่ดินทราย เราจะเอาเขาไปอยู่กับดินที่มีน้ำไม่ได้ เขาก็จะตาย....

ตอนนี้เขากำลังไปหาดินที่เขาจะไปอยู่ ว่าเขาควรจะไปโตที่ไหน....

คนเป็นพ่อแม่ต้องหาความเจริญเติบโตให้ลูก ก็คือหาได้แค่อาหาร แต่การที่เด็กจะโตและดำรงชีวิตต่อไปได้นั้น เป็นหน้าที่ของเขา”


ถ้าเรารักและโอบอุ้มเขาอยู่ในบ้าน เราก็ได้แค่เด็กตาบอดคนหนึ่งที่อยู่ในบ้าน ถ้าแม่ตายก็ไปเป็นภาระให้คนอื่น

สู้ให้เขาเป็นคนตาบอดที่มีศักยภาพ และดูแลตัวเองดีกว่า เพราะขนาดเราหลับตา เรายังทุกข์เลย แต่เขาต้องหลับตาไปตลอดชีวิต พ่อแม่ต้องสอนให้เขาดูแลตัวเอง ให้ได้ และทำให้ได้!?!

มีพุทธพจน์ กล่าวไว้ว่า “ไม่มีกรรมใดที่จะสำคัญไปกว่า ปัจจุบันกรรม”

ชีวิตที่เหลือของเรา ยังมีความหวัง และสามารถทำประโยชน์ได้อย่างมากมายก่อนสิ้นลมหายใจ

หลังจากนั้นไม่นาน พ่อแม่ของเขา ก็พากลับมาที่วัดอีกครั้ง ด้วยมาดใหม่ สดใสเริงร่า สีหน้าบ่งบอกว่ากลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี เชื่อฟังพ่อแม่ เป็นลูกที่น่ารัก

แม่เล่าให้ฟังว่า เขาเก่ง มีประสาทสัมผัสดี มีความสามารถพิเศษ ในการใช้คอมพิวเตอร์ เล่นไอโฟนได้ และมีความฝันอยากเป็นโปรแกรมเมอร์

นี่คือนิมิตหมายที่ดี ของเด็กวัยรุ่น ถึงแม้วันนี้จะตาบอด แต่ก็มีกำลังใจที่ดีจากพ่อแม่และคนใกล้ชิด ที่สำคัญตัวเขาเองนั่นล่ะ ที่ต้องสร้างพลังใจให้กับตนเองให้มากที่สุด เพื่ออนาคตที่งดงามและสุขใจอย่างแท้จริง

แม้ว่าดวงตา ต้องอยู่ในความมืดมิด ไม่สามารถมองเห็นความสวยงามของโลกใบนี้ได้ แต่เด็กชายที่เปี่ยมไปด้วยจิตใจที่งดงาม และใสสว่าง เพราะถูกปลูกฝังให้เป็นคนดีของสังคมมาตั้งแต่ยังเล็ก ๆ คนนี้ จะมีชีวิตที่สดใส และมีดวงใจที่ไม่มืดบอดเฉกเช่นดวงตาอย่างแน่นอน...ขอเจริญพร

จุดไฟในใจคน รู้รักสามัคคี

คอลัมน์จุดไฟในใจคน ...........โดย พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม

การรู้รักสามัคคี มีความหมายแบบรวมๆวิเคราะห์ในเชิงของความจริงที่เป็นรูปธรรม บนพื้นฐานการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ในฐานะที่พวกเราเป็นชาวพุทธ และดำเนินชีวิตตามวิถีแห่งธรรมชาติ ซึ่งตั้งอยู่บนรากฐานของความถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ที่สามารถยืนยันความถูกต้องได้ด้วยเหตุ และผล ทุกกาลเวลา เฉกเช่นเด็กนักเรียน ต้องตั้งใจเรียน ต้องทำงานเป็นกลุ่ม เพราะการเข้าไปรวมกันอยู่ในสถาบัน ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนเล็ก หรือใหญ่ การร่วมมือร่วมใจ สามารถบ่งบอกถึงพื้นฐานในหลายๆด้าน ถ้าทุกคนเป็นดี รักสามัคคีกันมากๆ โรงเรียนนั้นก็จะมีนักเรียนที่มีคุณภาพ ครูมีคุณภาพ และก็กลายเป็นโรงเรียนที่มีคุณภาพในที่สุด

ความสามัคคีต้องประกอบด้วยสาระรายละเอียดที่สร้างคุณประโยชน์ให้กับส่วนรวมอย่างแท้จริง

การที่จะสามัคคีกันได้นั้นต้องใช้ปัญญา ต้องมีจิตสำนึก ต้องช่วยกันระดมความรู้ความสามารถ

สามัคคีจะใช้เพียงแรงกายอย่างเดียวไม่ได้ ต้องใช้ความรู้ควบคู่กันไปด้วย ยกตัวอย่างที่วัดไผ่ล้อมของอาตมา พระสงฆ์ทุกรูปไม่ยกเว้นแม้แต่อาตมา ต้องทำวัตรสวดมนต์ทุกเช้า พระทุกรูปต้องลง สวดกันอย่างพร้อมเพรียง เสียงดังฟังชัด

ภาพที่ชาวบ้านญาติโยมเห็นและได้ยินนั้น เป็นความสุขใจ ที่ได้เห็นพระสงฆ์ทำหน้าที่ ทำวัตร สวดมนต์ บิณฑบาต เรียนหนังสือ ช่วยเหลือสงเคราะห์ญาติโยม

ไม่ใช่วันๆบวชมาเป็นพระ แล้วนั่งๆนอนนอน กินเล่นไปวันๆ นี่คือสิ่งที่อาตมาไม่ชอบ และไม่อยากเห็น

ภาพของพระสงฆ์ที่วัดไผ่ล้อม จึงฉายออกมาถึงความขยัน พร้อมเพรียง มีระเบียบวินัย

อาตมาอบรมสอนพระลูกวัดทุกรูปให้สำนึกตระหนักในหน้าที่ การบวชเรียนเข้ามาในบวรพุทธศาสนา ต้องเคร่งครัด เป็นพระต้องตื่นเช้า นอนดึก ต้องสวดมนต์ ต้องทำงาน เป็นพระจะมานอนเฉยๆไม่ได้

รูปไหนมีหน้าที่อะไรต้องไปทำ และห้ามเกี่ยงกันโดยเด็ดขาด ต้องช่วยกันคนละไม้ละมือ ถูกุฏิ ล้างโบสถ์ รดน้ำต้นไม้ ทำความสะอาดห้องน้ำห้องส้วม ล้างถ้วยล้างชาม เก็บกวาดลานวัด ต้องทำงานทุกอย่างที่มีอยู่ในวัด

ที่สำคัญต้องทำด้วยความเต็มใจ ทำด้วยใจรัก ทำอย่างมีอารมณ์ร่วม และทำให้เกิดเป็นพรสวรรค์

นี่คือตัวอย่างของความรู้รักสามัคคี ที่อาตมายกมาเป็นแบบแผนคุณสมบัติของพระสงฆ์ไทย

ความสามัคคี นั้น เป็นองค์ธรรมสำคัญที่จำเป็นต้องมีอยู่ในหมู่คณะบุคคล เป็นแกนนำที่ทำให้บรรลุประโยชน์ทั้งให้แก่ตน ให้แก่บุคคลอื่น และให้แก่หมู่คณะ แก่สังคม หรือแก่ชุมชนอันเป็นส่วนรวมได้ในคราวเดียวกัน เป็นพฤติกรรมที่เกื้อกูล พึงประสงค์ ที่สังคมพึงต้องการโดยทั่วไป

ตามหลักพระพุทธศาสนา ท่านได้แสดงให้เห็นถึงผลที่จะได้รับจากสามัคคีธรรม ไว้มีสาระสำคัญว่า เมื่อความสามัคคีเกิดขึ้นในหมู่คณะ ชุมชนใด ย่อมจะเกิดความรัก มีแต่ความ สุขความบันเทิง ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง ไม่มีการแบ่งพรรคแบ่งพวก แก่งแย่งแข่งดี ร่วมกันช่วยเหลือทำงานเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมอย่างพร้อมเพรียงกัน

ความสามัคคีต้องไม่ขัดแย้งซึ่งกันและกันต้องปรองดองกัน และหา ทางออกโดยที่ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง กันเพราะความสามัคคีเป็นกำลังอย่างสูงสุดของ หมู่ชน ซึ่งแต่ละคนจะต้องทำหน้าที่ของตัวด้วยความตั้งใจ มีความ คิดพิจารณาที่รอบคอบ ส่งเสริมความสามัคคี และปฏิบัติงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวม

ในฐานะที่ญาติโยมทุกท่านเป็นประชาชนของชาติ ต้องช่วยกันรักษาเอกราชอธิปไตย ถ้าเห็นใครเดือดร้อนก็ควรช่วยกันบรรเทา ช่วยกันประคับประคองทำให้สำเร็จ นี่ถือเป็นหลักสำคัญของการปกครองประเทศไทยมาแต่โบราณ

ที่สำคัญประเทศใดก็ตามถ้าพลเมือง สามัคคีกลมเกลียวกันดี มีระเบียบวินัย ประเทศนั้นก็เจริญและอยู่ในฐานะดี จะเห็นได้ว่าความสามัคคีระหว่างคนในชาติ ความเข้าใจรักษาระเบียบวินัยเป็นปัจจัยสำคัญ ที่จะช่วยนำประเทศสู่ความพัฒนา สามารถดำรงฐานะด้วยดีตลอดมา ก็ด้วยอาศัยความร่วมมือ ของทุกฝ่าย ช่วยกันปฏิบัติงานเพื่อประโยชน์ เสียสละอย่างจริงใจ...ขอเจริญพร

พิธีขอขมากรรม ส่งท้ายปีเก่ารับพรปีใหม่

บทความที่ได้รับความนิยม